อนุ กก.กลั่นกรองกฎหมาย สปส. ชี้ดึงเงินกองทุนชราภาพใช้ก่อน แก้ ศก.ระยะสั้น สร้างปัญหาระยะยาว

อนุ กก.กลั่นกรองกฎหมาย สปส. ชี้ดึงเงินกองทุนชราภาพใช้ก่อน แก้ ศก.ระยะสั้น สร้างปัญหาระยะยาว

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 20 กุมภาพันธ์ รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมาย การกำหนดอัตราเงินสมทบ และการพัฒนาสิทธิประโยชน์ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) และอดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ ม.รังสิต กล่าวถึงข้อเสนอให้นำเงินจากกองทุนชราภาพออกมาใช้ก่อน ให้เลือกรับบำเหน็จแทนบำนาญได้ และขอกู้จากกองทุนได้ว่า ข้อเสนอเหล่านี้เป็นข้อเสนอของผู้ประกันตนและผู้ใช้แรงงานจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ บางคนแม้ได้เงินจากกองทุนประกันการว่างงาน สวัสดิการ รวมทั้งเงินช่วยเหลือจากรัฐแล้วก็ยังไม่เพียงพอ จึงขอเลือกรับบำเหน็จแทนบำนาญเมื่ออายุครบ 55 ปี ขอนำเงินจากองทุนชราภาพมาใช้ก่อน และขอกู้จากกองทุน ข้อเสนอดังกล่าวเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระยะสั้น การเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกันตนในการใช้เงินกองทุนชราภาพตามข้อเรียกร้องอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเหมาะสมในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจสำหรับผู้ประกันตนที่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้าอย่างหนัก แต่จะก่อให้เกิดปัญหาระยะยาวติดตามมาไม่น้อย

“การตัดสินใจให้รับบำเหน็จได้ ให้กู้ได้ ขอคืนได้ เป็นการเปลี่ยนหลักการของกองทุนชราภาพประกันสังคม และอาจส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเงินของกองทุนได้ คาดว่าเงินอาจหมดกองทุนภายใน 30-40 ปีแทนที่จะเป็น 75 ปี กองทุนชราภาพในกองทุนประกันสังคมออกแบบมาเพื่อรับมือและลดความเสี่ยงหากสมาชิกกองทุนประกันสังคมมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่าเงินที่เก็บออมไว้ และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากปัญหาสังคมชราภาพของไทย ตามหลักการต้องการเป็นหลักประกันรายได้ให้กับผู้สูงวัยมีบำนาญไว้ใช้จ่ายตลอดชั่วอายุขัย

“กองทุนประกันชราภาพของกองทุนประกันสังคมต่างจากระบบ Defined Contribution Scheme ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนการออมแห่งชาติที่ผู้ส่งสมทบจะมีบัญชีของตัวเองชัดเจน บำเหน็จบำนาญที่ได้จึงขึ้นอยู่กับเงินออมสมทบของตัวเอง ขณะที่ระบบประกันสังคมเป็นแบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขจ่ายเงินบำนาญจากกองกลาง กองทุนชราภาพของกองทุนประกันสังคมอาจประสบปัญหาสภาพคล่องหากมีคนมาขอใช้สิทธิรับบำเหน็จและขอคืนเงินจำนวนมาก แม้จะมีข้อกำหนดว่าขอคืนได้ไม่เกินร้อยละ 30 สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทก็ตาม หรือมาขอกู้กันมากๆ เพราะมีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ สภาพคล่องกองทุนประกันสังคมมีปัญหาแน่นอน ข้อเสนอเหล่านี้เพื่อตอบสนองผู้ประกันตนและองค์กรแรงงานบางส่วนอาจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและรอบด้าน” รศ.ดร.อนุสรณ์ระบุ

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวต่อว่า แม้หลายประเทศมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจก็จะไม่ยอมให้จ่ายเป็นบำเหน็จเพราะโดยหลักการกองทุนประกันชราภาพแล้วต้องการให้เป็นหลักประกันรายได้ไปตลอดชีวิต มีบางประเทศให้รับบำเหน็จได้ แต่ผู้ประกันตนก็มักใช้เงินหมดภายในเวลาไม่กี่ปีและไม่มีหลักประกันรายได้หลังจากนั้นและต้องกลับมาเป็นภาระของสังคมและรัฐในที่สุด ส่วนกรณีการขอคืน “เงินกองทุนชราภาพ” ควรใช้มีวิธีขยายสิทธิประโยชน์ประกันการว่างงานสำหรับผู้เดือดร้อนทางเศรษฐกิจจะดีกว่า หรือรัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่มีรายได้น้อย

Advertisement

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า การดึงเงินจากกองทุนประกันชราภาพไปใช้เพื่อลดปัญหาทางงบประมาณ หรือการก่อหนี้เพิ่มของรัฐเฉพาะหน้า แต่จะสร้างปัญหาระยะยาวติดตามมาอยู่ดี ส่วนการขอกู้จากกองทุน หรือนำเงินที่สะสมไว้มาเป็นหลักประกันนั้น ธนาคารพาณิชย์อาจจะลังเลปล่อยกู้หรือไม่ เพราะเงินสมทบก็คล้ายการจ่ายค่าเบี้ยประกันเพื่อซื้อบริการไปแล้ว หากเอาเงินสมทบมาขอกู้เงินความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้น ยกเว้นธนาคารของรัฐที่รัฐบาลสั่งให้สนองนโยบายหรืออีกทางหนึ่ง สำนักงานประกันสังคมต้องจัดตั้ง “ธนาคารของกองทุนประกันสังคม” ขึ้นมา

“ขอให้กระทรวงแรงงานและรัฐบาลพิจารณาข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและส่งผลกระทบระยะยาวต่อกองทุนประกันสังคมด้วยความรอบคอบ เพราะสิ่งที่จะทำให้กองทุนประกันสังคมมีความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว คือการบริหารจัดการเงินลงทุนในกองทุนอย่างโปร่งใสและได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ผลการดำเนินงานของการบริหารเงินลงทุนของกองทุนประกันสังคมมีค่าเฉลี่ยดีกว่าเกณฑ์ผลตอบแทนของตลาดสำหรับกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนและข้อกำหนดในการลงทุนแบบเดียวกันมาอย่างต่อเนื่องซึ่งถือเป็นความสำเร็จ แต่การทบทวนนโยบายการลงทุนและประเมินผลบรรดาผู้จัดการลงทุนที่กองทุนประกันสังคมอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญอย่างมากในช่วงตลาดการเงินผันผวนและเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ

“กองทุนประกันสังคมควรศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนกองทุนประกันสังคมจากหน่วยราชการมาเป็นองค์กรอิสระที่เป็นองค์กรรัฐที่ไม่ใช่ราชการแบบ กลต. ตลาดหลักทรัพย์ หรือองค์กรแบบธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ช่วง 4 ปีที่ผ่านมาทางอนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมาย การกำหนดอัตราเงินสมทบ และการพัฒนาสิทธิประโยชน์ได้มีการเสนอให้มีเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงความยั่งยืนทางการเงินควบคู่ไปด้วย เช่น การพัฒนาสิทธิประโยชน์ชราภาพ การเพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันการว่างงาน การขยายระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทน กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย การลดเงินสมทบช่วงโควิด-19 การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีทันตกรรม การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยมาตรา 40 การเพิ่มสิทธิประโยชน์และการออมเงินโดยสมัครใจมาตรา 33 และ 39 เป็นต้น

Advertisement

“โดยรวมแล้วการดำเนินการที่ผ่านเป็นการเพิ่มสวัสดิการและลดเงินสมทบให้กับผู้ประกับตนมากขึ้น ฉะนั้น จึงมีเงินไหลออกจากเงินกองทุนมากกว่าเงินไหลเข้า ด้านเงินไหลเข้านั้น กองทุนประกันสังคมก็ได้ขยายฐานสมาชิกเพิ่มขึ้น และเห็นว่ากองทุนประกันควรขยายฐานในเชิงรุกมากกว่านี้ไปยังกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบอาชีพอิสระเพื่อให้คนกลุ่มนี้ได้รับความคุ้มครองด้านสวัสดิการพื้นฐานในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและนอกจากนี้ยังมีเงินไหลเข้ากองทุนจากการจ่ายเงินสมทบอีกด้วย” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวอีกว่า แม้สถานการณ์การจ้างงานโดยรวมปรับตัวในทิศทางดีขึ้น โดยเฉพาะแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออก ภาคการท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้นบ้างหลังการเปิดประเทศ แต่รัฐบาลต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้นในการแก้ปัญหาการว่างงานโดยเฉพาะการว่างงานของธุรกิจอุตสาหกรรมที่ควบรวมกิจการและได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยี การปรับหลักสูตรและระบบการศึกษาเพื่อผลิตบุคลากรที่สอดคล้องสำหรับระบบเศรษฐกิจใหม่เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังควบคู่กับการปรับทักษะ พัฒนาทักษะ สร้างทักษะให้กับแรงงาน ขณะนี้ภาคเอกชน รวมทั้งภาคราชการได้มีการจ้างงานแบบสัญญาจ้างระยะสั้นมากขึ้น จ้างงานตามโปรเจ็กต์มากขึ้น จ้างงานแบบรายวันรายชิ้นมากขึ้น จ้างงานแบบทำงานจากที่บ้านมากขึ้น มีการทำงานจากระยะไกลมากขึ้น การทำงานแบบแชร์ความสามารถส่วนบุคคล (Talent Sharing) มีการทำงานแบบฟรีแลนซ์ ซึ่งระบบการจ้างงานหรือทำงานแบบยืดหยุ่นที่เป็น Non-Standard เหล่านี้ก็เพื่อลดค่าใช้จ่ายขององค์กร ก่อให้เกิดความคล่องตัว ปรับเปลี่ยนได้เร็ว มีความยืดหยุ่น แต่ควบคุมคุณภาพได้ยาก

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า ขณะเดียวกันอาจเป็นการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรมได้ และเรียกร้องให้รัฐกำกับ “การจ้างงานแบบยืดหยุ่น” “การจ้างงานแบบเหมาช่วง” “การจ้างงานแบบ Non-Standard” ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานแรงงานและสร้างความไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้างได้ มาตรฐานแรงงานไทยและอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานแรงงานโลก กระทรวงแรงงานได้ประกาศมาตรฐานแรงงานไทยเมื่อ 27 มิ.ย. 2546 เพื่อให้สถานประกอบการทุกประเภท ทุกขนาด นำไปปฏิบัติต่อแรงงานในสถานประกอบการด้วยความสมัครใจ การดำเนินธุรกิจและดำเนินการผลิตต้องมีความรับผิดชอบทางสังคมที่ครอบคลุมสิทธิมนุษยชน (รวมสิทธิแรงงานด้วย) สภาพการจ้างและสภาพการทำงาน

“รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานต้องทบทวนข้อกำหนดแห่งมาตรฐานแรงงานในช่วงนี้เนื่องจากมีสถานการณ์เลิกจ้างรุนแรงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อลูกจ้างและทำให้เกิดระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดี มาตรฐานนี้ครอบคลุมไปยังผู้รับเหมาช่วงและการจ้างงานแบบไม่เป็นมาตรฐานด้วย สถานประกอบกิจการต้องให้ลูกจ้างได้รับข้อมูลเกี่ยวกับค่าจ้าง และค่าตอบแทนการทำงานที่ได้รับทั้งหมดในแต่ละงวด เป็นลายลักษณ์อักษร และสามารถเข้าใจรายละเอียดส่วนประกอบต่างๆ ได้

“สถานประกอบกิจการต้องไม่หักค่าจ้าง ค่าตอบแทนการทำงาน หรือเงินอื่นที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานกำหนดให้จ่ายแก่ลูกจ้างไม่ว่ากรณีใด เว้นแต่กฎหมายยกเว้นไว้ มาตรฐานแรงงานไม่สามารถครอบคลุมแรงงานจำนวนไม่น้อยที่อยู่นอกระบบ สถานประกอบกิจการต้องไม่กระทำ หรือสนับสนุนให้มีการเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน การจ่ายค่าจ้าง และค่าตอบแทนการทำงาน การให้สวัสดิการ โอกาสได้รับการฝึกอบรม และพัฒนา การพิจาณาเลื่อนขั้น หรือตำแหน่งหน้าที่ การเลิกจ้าง หรือเกษียณอายุการทำงานและอื่นๆ อันเนื่องมาจากเหตุเพราะความแตกต่างในเรื่องของสัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา อายุ เพศ สถานภาพสมรส ทัศนคติส่วนตัวในเรื่องเพศ ความพิการ การติดเชื้อเอชไอวี การเป็นผู้ป่วยเอดส์ การเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน การเป็นกรรมการลูกจ้าง ความนิยมในพรรคการเมือง หรือแนวความคิดส่วนบุคคลอื่นๆ ซึ่งขณะนี้นายจ้างได้ถือโอกาสช่วงวิกฤตเศรษฐกิจกลั่นแกล้งเลิกจ้างลูกจ้างอย่างเลือกปฏิบัติ ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงในสังคมเพิ่มขึ้น” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า สถานประกอบกิจการต้องไม่ขัดขวาง แทรกแซง หรือกระทำการใดๆ ที่จะเป็นผลกระทบต่อการใช้สิทธิของลูกจ้างที่ไม่มีผลเสียหายต่อกิจการ ในการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวกับเชื้อชาติ ประเพณีเชื้อชาติ ศาสนา เพศ ความพิการการเป็นกรรมกรลูกจ้าง การเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือพรรคการเมือง และการแสดงออกตามทัศนคติส่วนบุคคลอื่นๆ สถานประกอบกิจการต้องไม่ลงโทษทางวินัย โดยการหัก หรือลดค่าจ้าง และค่าตอบแทนการทำงาน หรือเงินอื่นที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานกำหนดให้จ่ายให้แก่ลูกจ้าง สถานประกอบกิจการต้องไม่กระทำ หรือการสนับสนุนให้ใช้วิธีการลงโทษทางร่างกาย ทางจิตใจ หรือกระทำการบังคับขู่เข็ญ ทำร้ายลูกจ้าง สถานประกอบกิจการต้องมีมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหา เพื่อมิให้ลูกจ้างถูกล่วงเกิน คุกคาม หรือได้รับความเดือดร้อนรำคาญทางเพศ โดยการแสดงออกด้วยคำพูด ท่าทาง การสัมผัสทางกาย หรือด้วยวิธีการอื่นใด

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า สถานประกอบกิจการต้องเคารพสิทธิลูกจ้างในการรวมตัวจัดตั้งและร่วมเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือคณะกรรมการอื่นๆ ในสถานประกอบกิจการ อีกทั้งยอมรับการร่วมเจรจาต่อรอง การคัดเลือก หรือเลือกตั้งผู้แทน โดยไม่กระทำการใดๆ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อขัดขวาง หรือแทรกแซงการใช้สิทธิของลูกจ้าง สถานประกอบกิจการต้องมีมาตรการที่จะอำนวยความสะดวกแก่ผู้แทนลูกจ้างในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ และต้องปฏิบัติต่อผู้แทนลูกจ้างโดยเท่าเทียมกับลูกจ้างอื่นๆ โดยไม่กลั่นแกล้ง โยกย้าย เลิกจ้าง หรือกระทำการใดๆ ที่ไม่เป็นธรรม สถานประกอบกิจการต้องกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ครอบคลุมประเภทงาน หรือลักษณะงานที่มีแนวโน้มอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีการควบคุม ป้องกันให้เป็นไปตามกฎหมาย และมาตรฐานความปลอดภัยในทุกสภาพแวดล้อมในการทำงาน สถานประกอบกิจการต้องจัดให้มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันอันตราย และลดปัจจัยเสี่ยงให้เป็นไปตามกฎหมาย และมาตรฐานความปลอดภัย

“ขณะนี้หลายกิจการ หลายธุรกิจอุตสาหกรรมลดมาตรฐานแรงงานลงมาเพื่อลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวอาจเป็นเงื่อนไขต่อการเพิ่มการกีดกันทางการค้าอันนำมาสู่ผลกระทบต่อกิจการและประเทศชาติโดยรวมในที่สุด หากมีการจ้างงานอย่างไม่ธรรมมากๆ ไม่มีสวัสดิการ ได้รับค่าตอบแทนต่ำด้วยชั่วโมงการทำงานยาวนาน และสภาพแวดล้อมในการทำงานมีความเสี่ยง ไม่ปลอดภัยและไม่มีอาชีวอนามัย ก็อาจจะดีกว่าแรงงานทาสไม่มากนัก เป็นการมองแรงงานเป็นเพียงปัจจัยการผลิตและต้นทุน ไม่ได้มองแรงงานในฐานะมนุษย์ ในฐานะเพื่อนร่วมชาติ ร่วมโลก และสภาวะดังกล่าวมักเกิดขึ้นกับแรงงานอพยพที่ไม่มีทางเลือก

“เราได้เห็นการกดขี่เอาเปรียบเหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น กรณีชาวโรฮีนจา กรณีชาวเมียนมาในกิจการประมง การที่ประเทศไทยยังเป็นแหล่งของการค้ามนุษย์ค้าแรงงานทาสของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติอยู่สะท้อนปัญหาที่ซ่อนอยู่ในสังคมไทยหลายประการ รวมทั้งปัญหาการทุจริตในระบบราชการที่เกี่ยวข้อง และการไม่มีสำนึกทางด้านสิทธิมนุษยชน มองคนเป็นสินค้า และมองคนไม่เท่ากัน” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image