กทม.พร้อม 28 ก.พ.นี้ ฉีดวัคซีนโควิด กลุ่มเด็ก 5-11 ปี

กทม.พร้อม 28 ก.พ.นี้ ฉีดวัคซีนโควิดกลุ่มเด็ก 5-11 ปี

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นพ.ชวินทร์ ศิรินาค รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมซักซ้อมแนวทางการฉีดวัคซีนเด็กอายุ 5-11 ปี ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้บริหารสำนักการศึกษา สำนักอนามัย 50 สำนักงานเขต ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร 431 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านระบบทางไกล

นพ.ชวินทร์เปิดเผยว่า สำนักการศึกษาได้จัดประชุมซักซ้อมแนวทางการฉีดวัคซีนเด็กอายุ 5-11 ปี ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ทุกโรงเรียนได้รับทราบแนวทางการฉีดที่ถูกต้อง และสามารถบริหารจัดการการให้วัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสำนักอนามัยร่วมให้ข้อมูลแนวทางปฏิบัติและขั้นตอนการทำงาน สำหรับการให้วัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-11 ปี ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย เด็กอายุ 5-6 ปี ให้รับวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ระยะห่างระหว่างเข็ม 8 สัปดาห์ เด็กอายุ 6-11 ปี สามารถรับวัคซีนได้ 3 สูตรคือ ไฟเซอร์ 2 เข็ม ระยะห่างระหว่างเข็ม 8 สัปดาห์ ซิโนแวค 2 เข็ม ระยะห่างระหว่างเข็ม 4 สัปดาห์ และสูตรไขว้ ซิโนแวคและไฟเซอร์ ระยะห่างระหว่างเข็ม 4 สัปดาห์ โดยเด็กที่แจ้งความประสงค์รับวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม จะเป็นการรับบริการ ณ สถานศึกษาที่กำหนด สำหรับสูตรอื่นจะมีการนัดหมายเพื่อรับวัคซีนอีกครั้ง

เบื้องต้นกำหนดให้บริการในกลุ่มนักเรียนระดับชั้น ป.6 ก่อน และจะไล่ระดับชั้นลงมา ตามลำดับ โดยเริ่มให้บริการกลุ่มแรกในวันที่ 28 ก.พ.นี้ ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนสูตรใดขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ปกครอง และการฉีดวัคซีนจะมีประโยชน์กับเด็กมากกว่า เนื่องจากมีข้อมูลวิจัยว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ดังนั้น ที่ประชุมจึงกำชับให้สถานศึกษาเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองเข้าใจถึงประโยชน์ของวัคซีน สิ่งที่ควรปฏิบัติหลังฉีดวัคซีน ข้อปฏิบัติของเด็กนักเรียน รวมถึงเน้นย้ำเอกสารจำเป็นที่นักเรียนต้องนำมาแสดงในวันรับวัคซีน ได้แก่ บัตรประชาชน (หากมี) หรือใบสูติบัตร หรือทะเบียนบ้าน ใบแสดงความประสงค์ของผู้ปกครองและแบบคัดกรองที่มีการลงลายมือชื่อของผู้ปกครอง

“ในส่วนของหน่วยงานกรุงเทพมหานครได้บูรณาการร่วมกันเพื่อเตรียมพร้อมขั้นตอนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 แบ่งออกเป็น การเตรียมการก่อนการให้บริการ การให้บริการผ่านโปรแกรม co-vaccine ตามขั้นตอน และการดำเนินการหลังให้บริการ อาทิ การสำรวจกลุ่มเป้าหมายเป็นภารกิจของสำนักการศึกษา การชี้แจงผู้ปกครองจะเป็นภารกิจหลักของโรงเรียน การจัดเตรียมสถานที่เป็นภารกิจของสำนักงานเขต การจัดเตรียมวัคซีนเป็นภารกิจของสำนักอนามัยและศูนย์บริการสาธารณสุข การดูแลหากมีการส่งต่อผู้ป่วย หากเกิดเหตุฉุกเฉินเป็นภารกิจของสำนักการแพทย์ เป็นต้น โดยจะจัดสถานที่ บรรยากาศให้มีสีสันสดใส ลดขั้นตอนปฏิบัติให้กระชับ ไม่ต้องมีการชั่งน้ำหนักหรือวัดส่วนสูง และมีการอธิบายให้เด็กเข้าใจด้วยภาษาง่าย เพื่อลดความวิตกกังวลของเด็กและให้เกิดความร่วมมือ” นพ.ชวินทร์กล่าว

Advertisement

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image