ด่วน! ไทยพบฝีดาษลิงรายที่ 3 ในภูเก็ต ชาวเยอรมนีมาเที่ยว 18 ก.ค. ไม่นานเริ่มมีอาการแล้วพบเชื้อ

ด่วน! ไทยพบฝีดาษลิงรายที่ 3 ในภูเก็ต ชาวเยอรมนีมาเที่ยว 18 ก.ค. ไม่นานเริ่มมีอาการแล้วพบเชื้อ

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ว่า วันนี้มีการรายงานกรณีโรคฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง (Monkeypox) มีผลการตรวจหาเชื้อในห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ยืนยันในรายที่ 3 เป็นผู้ป่วยชาย อายุ 25 ปี สัญชาติเยอรมนี เดินทางเข้าไทยเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 ที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งทางจังหวัดกำลังจะรายงานไทม์ไลน์ผู้ป่วยมาให้กรมควบคุมโรค

นพ.โอภาส กล่าวว่า เบื้องต้น ผู้ป่วยรายดังกล่าวเมื่อเข้ามาถึงไทยไม่นานก็เริ่มมีอาการ จึงคาดว่าน่าจะติดเชื้อจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้ป่วยให้ประวัติว่าเดินทางมาเที่ยวในไทย เคยไปๆ มาๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด กลุ่มเสี่ยงเพื่อคัดกรองโรคฝีดาษลิง ซึ่งเบื้องต้นผลยังไม่พบผู้ติดเชื้อในผู้สัมผัส แต่ตามแนวทางจะต้องให้สังเกตอาการ 21 วัน โดยสามารถไปไหนมาไหนได้ แต่ต้องระวังการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น

“ส่วนความเสี่ยงที่โรคฝีดาษลิงจะกระจายในประเทศไทย จะสังเกตว่า 3 ราย เป็นเพศชาย ตรงกับข้อมูลขององค์การอนามัยโลกที่เปิดเผยว่า ร้อยละ 98 มีประวัติชายรักชาย (man sexual with men) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของไทย เป็นชายทั้งหมด โดยเป็นต่างชาติ 2 ราย และคนไทย 1 ราย ที่สัมผัสใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ ฉะนั้น ความเสี่ยงคือการสัมผัสใกล้ชิดต่างชาติกับผู้ป่วยฝีดาษลิง” นพ.โอภาส กล่าว

นพ.โอภาส กล่าวว่า ผู้ป่วยรายที่ 3 เมื่อเข้ามาไม่นาน ก็เริ่มมีอาการฝีดาษลิง คือ มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ต่อมาผื่นขึ้นเริ่มจากอวัยวะเพศและไปตามร่างกาย อาการค่อนข้างชัดเจน จึงมาโรงพยาบาล (รพ.) ทั้งนี้ ข้อมูลทั่วโลกพบว่า ผู้ป่วยฝีดาษลิงไม่ได้จำเป็นต้องอยู่ใน รพ.ทุกรายมีเพียงร้อยละ 9 ที่ต้องอยู่ รพ.เพื่อควบคุมโรค ดังนั้น มาตรการของเราในอนาคต หากผู้ป่วยไม่มีปัญหาสุขภาพก็ให้รักษาตัวที่บ้านได้ (Home Isolation)

Advertisement

นพ.โอภาส กล่าวว่า ส่วนเรื่องวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิง ทางองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กำลังประสานติดต่อคาดว่าไม่เกินเดือนนี้ ซึ่งคณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่ยังไม่มีประวัติติดเชื้อแต่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรค เช่น บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ห้องแล็บ 2.มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยฝีดาษลิง แต่ไม่เกิน 14 วัน หลังจากสัมผัสครั้งสุดท้าย คาดว่าป้องกันโรคได้ ด้านยารักษาโรค ขณะนี้ ข้อมูลบ่งชี้ว่า สามารถหายเอง อย่างผู้ป่วย 2 รายแรกของไทย อาการดีขึ้นโดยไม่ต้องรับยาต้านไวรัส แต่ยาอาจมีความจำเป็นในกลุ่มผุ้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี หรือร่างกายอ่อนแอ ทั้งนี้ ข้อมูลทั่วโลกพบติดเชื้อฝีดาษลิง 20,000 ราย เสียชีวิต 3-4 ราย ซึ่งประวัติมีโรคประจำตัว เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ภาวะแทรกซ้อนสมองอักเสบ ฉะนั้น ยาจะมีความจำเป็นเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ทุกรายที่ต้องรับยา

ผู้สื่อข่าวถามว่า 2 รายแรกของไทย ถือว่าการป้องกันโรคปลอดภัยแล้วหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ต้องดูว่าผู้สัมผัสโรคของรายที่ 1 ครบ 21 วัน หลังจากที่สัมผัสกับผู้ป่วยหรือยัง เพราะโรคนี้ระยะฟักตัวอย่าง ซึ่งการควบคุมโรคจะดีกว่าโรคที่ระยะฟักตัวสั้นอย่างโควิด-19 ที่เวลากระจายก็กระจายเร็ว

เมื่อถามถึงเรื่องการบริการวัคซีนฝีดาษลิง นพ.โอภาส กล่าวว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต้องดู 1.ประสิทธิภาพ 2.ความปลอดภัย 3.สถานการณ์ และ 4.ความเป็นไปได้ในการจัดบริการ ซึ่งวัคซีนที่เราสั่งเข้ามาจากข้อมูลพบว่าผลข้างเคียงน้อยที่สุด แต่ด้วยโรคใหม่เราจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน หรือ อีโอซีกระทรวงสาธารณสุข เห็นชอบแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคฝีดาษวานร สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ใน รพ. เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2565 ขณะนี้ กรมการแพทย์ได้ประกาศแนวทางดังกล่าว โดยหากพบผู้ป่วยที่สังสัยป่วยโรคฝีดาษลิง ขอให้รับเป็นผู้ป่วยใน รพ. (Admit) เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอน และเพื่อการควบคุมโรคไปในตัว โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่าสามารถตรวจเชื้อได้ใน 24 ชั่วโมง อย่างเร็วที่สุดคือ 3-4 ชั่วโมง

“แนวทางรักษา โดยหลักการเป็นโรคที่หายเอง แต่มีการพูดคุยเรื่องยาต้านไวรัสเผื่อไว้ด้วย ทั้งนี้ หากพบผู้ป่วยสงสัยเราจะแอดมิตจนแน่ใจว่าเป็นหรือไม่ จากนั้นจะต้องดูเป็นรายๆ ไป หากเราสามารถป้องกันควบคุมโรคได้ชัดเจน ไม่มีโรคประจำตัวที่น่ากังวล เราก็จะกลับไปรักษาที่บ้าน ซึ่งต่างประเทศเขาก็ทำแบบนี้ แต่ทั้งหลายต้องมั่นใจว่าไม่มีอาการแทรกซ้อน และสามารถป้องกันควบคุมโรคได้” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image