กรมอุทยานฯระส่ำ ขรก.ทดท้อ ดำรงค์ เชียร์ ต้องอย่ายอม ถ้าไม่ถูกต้อง

กรมอุทยานฯระส่ำ ขรก.ทดท้อ ดำรงค์ เชียร์ ต้องอย่ายอม ถ้าไม่ถูกต้อง

กรณี เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บุกเข้าไปในที่ประชุมผู้บริหาร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และเข้าจับกุม นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ระหว่างกำลังกล่าวกับผู้บริหารกรมอยู่ นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารจากกรมกองต่างๆ อยู่นอกห้องจำนวนมากเพื่อรอเข้าอวยพรปีใหม่

สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปปป.เพื่อแจ้งเอาผิดนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช หลังพบว่านายรัชฎา มีพฤติกรรมใช้อำนาจหน้าที่ในทางไม่เหมาะสม กลั่นแกล้งโยกย้ายตำแหน่งเจ้าหน้าที่ที่ไม่ยอมจ่ายเงินวิ่งเต้น จำนวน 500,000 บาท ไปยังตำแหน่งอื่นๆ ที่ห่างไกลจากภูมิลำเนาหรือที่พักอาศัย อีกทั้งยังมีพฤติกรรมเรียกเก็บเงินจากหัวหน้าหน่วยงานภาคสนาม คิดตามอัตราส่วนจากหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ เช่น อุทยานแห่งชาติ, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จะเก็บ 18.5% จากหมวดงบดำเนินงานและค่าใช้สอย, หน่วยป้องกันไฟป่า 30% จากหมวดงบดำเนินงานและค่าใช้สอย

หลังรับเรื่องจึงจัดกำลัง เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บุกเข้าไปในที่ประชุมผู้บริหาร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และเข้าจับกุม นายรัชฎา ระหว่างกำลังกล่าวกับผู้บริหารกรมอยู่ นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารจากกรมกองต่างๆ อยู่นอกห้องจำนวนมากเพื่อรอเข้าอวยพรปีใหม่ ลงพื้นที่สืบหาตรวจสอบข้อเท็จจริงนำมาสู่การเชิญตัวมาแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมกับเข้าตรวจค้นพยานหลักฐานภายในห้องทำงาน จากการตรวจค้นพบเงินสดใส่ซองขาวประมาณ 5 ล้านบาทด้วยนั้น

วันที่ 28 ธันวาคม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ว่า ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนใจ และตกใจแก่หลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการของกรมอุทยานฯเนื่องจากไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน ตนในฐานะหัวหน้าหน่วยราชการ ได้ให้กำลังใจทุกคน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่และข้าราชการของกรมอุทยานฯว่า ขอให้ตั้งใจปฏิบัติงานต่อไป และเรื่องนี้จะเข้าสู่กระบวนการ ใครผิดก็ว่ากันไปตามผิด ตามหลักฐาน ผิดวินัยก็ไล่ออก ผิดอาญาก็ติดคุก และขอให้เจ้าหน้าที่กรมอุทยานทุกคนยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำดีมาตลอด

Advertisement

“ในส่วนของกระทรวง ทส.ตอนนี้ ได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงสำหรับการกระทำของอธิบดีกรมอุทยานฯให้มีผลออกมาภายใน 7 วัน ต่อจากนั้น ก็จะขยายผลตามหลักฐานที่มีอยู่ เช่น มีรายชื่อ ว่าใคร ส่วนไหนจ่ายเงิน หรือถูกเรียกเก็บเงินบ้าง สอบทั้งหมด อันนี้คือทำคนละส่วนกับที่ ป.ป.ช.ทำ ที่ ป.ป.ช.ทำก็ทำไป ในส่วนของ ทส.ตอนนี้สอบหาข้อเท็จจริงก่อน” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพรกล่าวว่า ได้ตั้งนายกุศล โชติรัตน์ รองปลัด ทส. เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกำลังมีการประชุมที่กระทรวง ซึ่งรายละเอียดการดำเนินการต่างๆ นายกุศลจะนำเสนอตนหลังการประชุม ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงเย็นวันนี้ รวมทั้งกรณีจะต้องมีการพักราชการนายรัชฎาระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือไม่

เมื่อถามว่า มีการพูดกันว่า เงินที่ได้รับมาจากทุกส่วน ก็เอาไปให้ผู้ใหญ่ระดับสูงอีกที จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร นายจตุพรกล่าวว่า ใครพูดอะไรมาก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง ก็ดีจะได้มีการสอบที่มาที่ไปเลยว่าที่บอกว่า เก็บเงินให้ผู้ใหญ่นั้น ผู้ใหญ่คนไหน เป็นใคร ต้องสอบให้ได้คำตอบที่ชัดเจน

Advertisement

เมื่อถามอีกว่า จะมีการดำเนินการอย่างไรกับนายชัยวัฒน์ ที่ไปร้อง ป.ป.ช.ในเรื่องนี้หรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า ได้ให้กำลังใจนายชัยวัฒน์ไป โดยบอกไปว่า เรื่องนี้ต้องได้รับการสะสางแก้ไข ผิดก็ว่าไปตามผิด

ด้านนายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ให้สัมภาษณ์ว่า มีลูกน้องเก่าหลายคนเข้ามาปรึกษา ปรับทุกข์เรื่องของการโยกย้ายแบบเหมารวม เช่น มีตำแหน่งเคยครองอยู่ที่หนึ่ง และปฏิบัติหน้าที่อีกที่หนึ่ง ก็มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ ที่ตำแหน่งที่เคยครอง ดังนั้น จะมี เช่น คนหนึ่งมีตำแหน่งเคยครองอยู่สงขลา ก็ให้ไปทำงานอยู่ที่หนองบัวลำภู เป็นต้น ถ้าใครไม่จ่ายเงินก็ต้องย้าย ใครจ่ายก็อยู่ที่เดิม ซึ่งตนก็ได้แต่รับฟัง แต่ไม่ได้ไปยุ่งอะไร เพราะไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับตรงนั้นแล้ว

“ก็เคยพูดกับระดับผู้บริหาร ระดับสูงเหมือนกัน ว่ามีเรื่องแบบนี้ เด็กๆ เดือดร้อน เขาก็รับปากว่าจะไปดูให้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาได้แก้ปัญหาอะไรหรือไม่ เพราะเหตุแบบนี้สมัยผมไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” นายดำรงค์กล่าว

เมื่อถามว่าในฐานะที่เคยเป็นอธิบดีกรมนี้มาก่อนอยากจะบอกเจ้าหน้าที่และข้าราชการภายในกรมอย่างไรบ้าง น่ายดำรงค์กล่าวว่า หากเกิดเหตุแบบนี้ ต้องมีความกล้าหาญที่จะไม่ยอมรับ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไป ซึ่งการโยกย้ายในระบบราชการเวลานี้มี 4 ประเภท ด้วยกันคือ ย้ายเพื่อทำงาน ย้ายเพื่อทำเงิน ย้ายเพราะโดนลงโทษ และสุดท้าย ย้ายเพราะผู้มีอำนาจสั่งการมา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอธิบดีแต่ละคนว่าจะจัดการอย่างไร

“ขอให้กำลังใจข้าราชการทุกคนที่ตั้งใจทำงาน และตั้งมั่นอยู่ในความถูกต้อง เรื่องที่เกิดขึ้น หลายคนอาจจะเสียขวัญ แต่ถ้าเรานำเรื่องแบบนี้มาจัดการให้ทุกอย่างเข้าที่ในระบบที่ถูกที่ควร และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นมาอีก ผมเชื่อว่า ที่ผ่านมา มีคนผิดหวังมากกว่าคนสมหวัง คือ ไม่ยอมจ่าย ไม่มีจะจ่าย มากกว่าคนที่ยอม ซึ่งหลังจากนี้ หากระบบถูกจัดการ ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกัน แข่งขันก็แข่งกันอย่างยุติธรรม” นายดำรงค์กล่าว

 

อ่านข่าวน่าสนใจ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image