อนุทิน ขอสังคมแยกแยะข้อเท็จจริง หลังข่าว ด.ญ.บุรีรัมย์ กุเรื่องถูกรุ่นพี่พ่นกัญชาใส่-ขืนใจ ทำ ปชช.สับสน ยัน ถ้าทำถูกต้องตาม กม.ไม่เกิดอันตราย แต่ถ้าทำผิด ไม่พ้นโทษแน่นอน
จากกรณีที่มีข่าวเด็กหญิงชั้น ม.2 จ.บุรีรัมย์ ถูกรุ่นพี่ชั้น ม.6 สูบกัญชาพ่นใส่หน้าจนมึน แล้วขืนใจต่อหน้าเพื่อน 7-8 คน โดยล่าสุด เด็กหญิงผู้เสียหายได้กลับคำให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ โดยระบุว่า เป็นการยินยอมของตน แต่ที่ต้องอ้างว่ามีการสูบกัญชาแล้วขืนใจ เนื่องจากกลัวว่าครอบครัวจะดุด่า ขณะที่ เพื่อนของผู้ถูกกล่าวหา ได้ขอความเป็นธรรมกับเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากในวันเกิดเหตุ ไม่มีการสูบกัญชาและขืนใจแต่อย่างใด
เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่กระทรวงสาธารณสุข ผู้สื่อข่าวจึงได้สอบถามถึงกรณีดังกล่าวกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ตอบว่า กรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมที่ถูกเชื่อมโยงถึงกัญชา ตนขอย้ำว่าจะต้องมีการวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูล พิจารณาข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วน เพราะเราต้องพูดกันถึงข้อเท็จจริง อย่างกรณีที่เกิดขึ้น เมื่อมีการสอบสวนข้อมูลชัดๆ ก็กลายเป็นอีกเรื่องไปเลย ก็ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ขาดความเชื่อมั่นในนโยบายกัญชาทางการแพทย์ได้ หรือกรณีที่มีชาวต่างชาติ กินบราวนี่ผสมกัญชาแล้วเกิดอาการมึนเมานั้น หากไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีการใส่ช่อดอกกัญชาเข้าไปด้วย ก็จะเป็นความผิดตามกฎหมาย ทั้งเรื่องสมุนไพรควบคุม ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และกฎหมายห้ามใส่ช่อดอกในอาหาร ตาม พ.ร.บ.อาหาร ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจ จะบอกว่าไม่รู้ว่าห้ามใช้ช่อดอกปรุงอาหารไม่ได้ เพราะกฎหมายประกาศไว้ชัดเจน และถ้าร้านใดใช้ส่วนอื่นๆ ของกัญชาผสมในอาหาร ก็จะต้องแจ้งกับผู้บริโภคทุกครั้ง
“ย้ำว่ากัญชาทางการแพทย์ หากมีการใช้อย่างถูกต้อง ในเรื่องที่ถูกกฎหมายก็จะเกิดความปลอดภัย ไม่เกิดอันตราย แต่หากมีการนำไปใช้ในทางที่ผิด แน่นอนว่ามีกฎหมายต่างๆ รองรับเรื่องนี้อยู่ เชื่อว่า หลายๆ คนไม่อยากเสี่ยงกับกฎหมาย ที่มีทั้งค่าปรับ และจำคุก ฉะนั้น ขอให้ประชาชนใช้กัญชาให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายอนุทินกล่าว