ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจวกระบบจัดซื้อยาใหม่ ทำวิกฤตขาดยาต้านไวรัสฯ อีก 2 เดือน

เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ แห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้เรากำลังอยู่ในภาวะที่ระบบสุขภาพกำลังสับสน คนไข้ที่กำลังอยู่ในระบบกำลังวังเวง โดยตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อฯ เคยมีปัญหาการเข้าไม่ถึงยาต้านไวรัสและยาราคาแพง จากนั้นจึงมีการต่อสู้เรื่อยมาจนสามารถผลักดันให้ยาต้านไวรัสเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังมีการปรับเปลี่ยนระบบการจัดซื้อยา โดยมอบหมายให้โรงพยาบาลราชวิถีทำหน้าที่แทนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) คำถามก็คือจะเป็นการถอยหลังกับไปที่เดิมเมื่อ 30 ปีที่แล้วใช่หรือไม่

นายอภิวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ติดเชื้อฯ ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้ว การเข้าถึงยาของผู้ป่วยกำลังมีปัญหา โดยที่ผ่านมาหน่วยบริการจะจ่ายยาต้านไวรัสให้ผู้ติดเชื้อฯ ครั้งละ 3-4 เดือน แต่ขณะนี้พบสัญญาณว่ายาต้านไวรัสกำลังจะขาดแคลนเนื่องจากยังไม่มีการสั่งซื้อ พบว่าหน่วยบริการเริ่มจ่ายยาให้ผู้ติดเชื้อฯ ครั้งละเพียง 1 เดือน หรือในบางแห่งถึงกับจ่ายเป็นรายสัปดาห์
นอกจากนี้ ยังพบว่าจากเดิมที่ผู้ติดเชื้อจะได้รับยาสูตรรวมเม็ด ปัจจุบันยาดังกล่าวเริ่มขาดแคลนจนโรงพยาบาลต้องจ่ายให้เป็นยาสูตรแยกเม็ดแทน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อผู้ติดเชื้อฯ ขาดยาก็ไม่ได้เสียชีวิตทันที แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือจะเริ่มเกิดปัญหาเชื้อดื้อยา นำมาซึ่งภาระงบประมาณของประเทศมากยิ่งขึ้น

“ทุกวันนี้เราใช้ยาที่ สปสช.จัดซื้อมาของปี 2560 อยู่ ซึ่งทราบมาว่ายาเหล่านั้นจะใช้ได้นานที่สุดก็ไม่เกินเดือน พ.ย.2560 จากนั้นยาต้านไวรัสก็จะหมดลง ขณะที่ผู้ป่วยก็ได้รับยาเป็นรายเดือนแล้ว ตรงนี้สะท้อนว่าระบบกำลังปั่นป่วน โรงพยาบาลก็ไม่สามารถเบิกยาได้” นายอภิวัฒน์ กล่าวและว่า ขณะนี้ผู้ป่วยรู้สึกวังเวงใจและเป็นกังวลอย่างมาก เนื่องจากจนถึงขณะนี้ซึ่งกำลังสิ้นสุดปีงบประมาณ 2560 กลับยังไม่มีการจัดซื้อยาเพิ่มเติม นั่นหมายความว่าหลังจากเดือน พ.ย.2560 ผู้ติดเชื้อฯ จะต้องหยุดยาใช่หรือไม่

ประธานเครือข่ายฯ กล่าวอีกว่า การที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้ว่า สปสช.ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่ในการต่อรองราคายาและจัดซื้อยารวมมาตลอดระยะเวลา 10 ปี อย่างไม่เคยมีปัญหานั้น ไม่มีอำนาจในดำเนินการ ก็ขอถามว่าเมื่อ สปสช.ไม่มีอำนาจ เหตุใดจึงไม่เพิ่มอำนาจให้ แต่กลับเลือกใช้กลไกใหม่ที่เพิ่มขั้นตอนให้ยุ่งยากกว่าเดิมหรือไม่ ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อที่รับยาต้านไวรัสอยู่ประมาณ 3 แสนคน ลองคิดดูว่าถ้าผู้ป่วย 3แสนคนต้องเดินไปโรงพยาบาล แล้วโรงพยาบาลไม่มียาให้เบิก นั่นก็หมายความว่าคนเหล่านั้นก็จะมีโอกาสมีเชื้อดื้อยา ระบบหลักประกันสุขภาพก็ต้องเพิ่มเม็ดเงินยิ่งขึ้น ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากกว่าเรื่องกฎหมาย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image