พญาเสือตะลึง พบกระดูก-ลำไส้ใหญ่เสือดำ เจ้าสัวกินเหลือ แล้วทิ้งลงน้ำ (ชมคลิป)

 

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดปฏิบัติการพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ชุดปฏิบัติการพญาเสือและเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากสำนักการบิน ทส.นั่งเฮลิคอปเตอร์บินตรวจสภาพป่าและส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กรณี ค้นหาพยานหลักฐานในคดียิงเสือดำในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการ 3 เรื่องเป้าหมายด้วยกันคือ 1. พิสูจน์ จุดตั้งกล้องดักถ่ายของสถานีวิจัยสัตป่าเขานางรำ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งมีข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 ได้ถ่ายเสือดำเพศผู้ไว้นั้น ห่างจากจุดที่มีการชำแหละซากเพียง 100 เมตร และพิจารณาว่าจะใช่ตัวเดียวกันหรือไม่ และอยู่จุดไหน ค้นหาแนววิถีกระสุนปืนลูกซองที่ใช้ยิงเสือดำและค้นหาร่องรอยที่เป็นแนวและเชื่อมโยงไปหาจุดยิงได้ ค้นหากระดูกสะโพกขวา ขาหลัง ซึ่งเบื้องต้นสันนิษฐานว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาอาจจะกินหมดไปแล้วขว้างทิ้ง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้น ว่าอยู่จุดใด หรืออาจจะโยนลงน้ำ หรือขว้างไปอีกฝั่งห้วย จึงได้จัดหาสน็อกเกิลที่ดำน้ำมองใต้น้ำได้ เพื่อเป็นหลักฐานประกอบ และเป็นวัตถุพยานสำคัญชิ้นหนึ่ง

หัวหน้าชุดปฏิบัติการพญาเสือกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทุกนายเดินทางถึงพื้นที่ แยกย้ายกันหา แบ่งงานกันเพื่อแข่งกับเวลา จนแต่ละที่สามารถตรวจค้นได้ตามเป้าหมาย โดยจุดที่ 1 พบจุดที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ ได้ติดตั้งกล้องดักถ่ายสัตวป่าไว้ ตรงกับพิกัดที่แจ้งไว้ และที่สำคัญ จุดนั้นได้เปรียบเทียบลักษณะสิ่งแวดล้อมทั่วไปในองค์ประกอบด้วย เช่น ต้นไม้ที่ติดตั้ง ต้นไม้ที่อยู่ข้างเคียง จนครบองค์ประกอบทั้งสองมุมกล้อง จึงได้บันทึก และตรวจสอบว่ามีจุดห่างจากจุดชำแหละเสือดำจริงเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตร และที่สามารถยืนยันข้อเปรียบเทียบสันนิษฐานเบื้องต้นได้ก่อนว่า เสือดำตัวที่กล้องดักถ่ายถ่ายได้นั้นอาจเป็นตัวเดียวกัน จากข้อมูลงานวิจัย สามารถยืนยันได้ว่า เสือดำตัวผู้จะมีพื้นที่หากินประมาณ 40 ตารางกิโลเมตร บวกลบ 7 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) จะดูแลตัวเมีย 2-3 ตัว และจะมีอาณาเขตปกครอง สัตวป่าหรือเสือดำตัวอื่นไม่สามารถเข้ามาได้ และที่กล้องดักถ่ายถ่ายภาพได้นั้นเป็นตัวผู้ซึ่งอาจเป็นตัวเดียวกันกับตัวที่ถูกยิงแล้วชำแหละ ในจุดที่ห่างเพียง 100 เมตร ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจหาและจะรู้ว่าเป็นเพศใด เบื้องต้นทีมงานหน่วยพญาเสือดูจากหนังที่ชำแหละแล้วว่ามีโอกาสเป็นเสือตัวผู้ 90% ถ้าพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วว่าเป็นตัวผู้ ก็ชี้ได้เลยว่าเป็นตัวเดียวกัน

Advertisement

“ที่เป็นข้อสังเกตว่าพรานที่มาล่าและตั้งใจนำปืนสามกระบอก มีดหกเล่ม แต่ละเล่มใช้แตกต่างกัน กรณีนี้ พรานทั้งสี่ หนึ่งในนั้นต้องรู้และเคยเข้ามาและเห็นเสือดำตัวนี้ชอบเดินอยู่บริเวณนั้น จึงมีเจตนาเข้ามาล่าและตั้งแคมป์บริเวณนั้น ถือว่าจงใจ เจ้าหน้าที่ชุดที่สอง ค้นหาแนวกระสุน พบร่องรอยการฉีกขาดของเปลือกไม้ สองจุด ที่หิน หนึ่งจุดรวมสามจุดตรงตามแนวจุดสลัดปลอก ปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ที่ตกอยู่บนถนน ตามที่เก็บเป็นหลักฐานไว้แล้ว ขณะเดียวกันพบจุดที่เสือดำถูกยิง พบขนที่ขาดจากการกระแทกของแรงกระสุน ขนหลุดเป็นกระจุก ห่างจากจุดที่เชื่อว่าเสือนั่งอยู่เพียงเมตรเดียวและจุดที่ยืนยิงห่างประมาณ 14 เมตร ส่วนกระสุนที่กระจายบานออกไปกระทบกิ่งของเถาสะแกวัลย์หนึ่งเม็ด ซึ่งอีกเม็ดหนึ่งไปกระทบหิน เป็นมุมเดียวกัน ส่วนกระสุนปืนอีกเม็ดหนึ่งมีมุมเฉียงองศาออกไป เหมือนคนที่ยิงวิ่งเฉียงออกไปทางด้านซ้าย ไม่มาก ประมาณเดินออกไปทางซ้าย 6-7 ก้าว แล้ววิ่งไปยิงซ้ำ กระสุนเม็ดนี้ไปกระทบต้นไม้ที่ยืนต้นตาย เปลือกแข็ง มีรอยฉีกชัดเจน ส่วนเม็ดตะกั่วนั้นหาไม่เจอ ต้องให้หน่วยกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแนวกระสุนอีกครั้ง” นายชัยวัฒน์กล่าว

หัวหน้าชุดปฏิบัติการพญาเสือกล่าวว่า ข้อสังเกตจุดนี้แสดงว่าเสือดำตัวนี้ต้องเชื่องมากและคุ้นกับคนจนไม่หลบหนี หรือเชื่อว่าคนไม่ทำร้าย ในข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเชื่อว่าเสือดำถูกยิงไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง และรูกระสุนที่สามารถเอาปลายหลอดแยงเข้าไปได้แสดงว่าน่าจะเป็นกระสุนคนละชนิด และอาจเป็นคนละคนที่เข้าไปยิงซ้ำ แต่เบื้องต้นพนักงานสอบสวนนำชิ้นเนื้อไปสแกนหาหัวกระสุนว่าจะอยู่หรือไม่ หรืออาจจะทะลุลำตัวไป คณะเจ้าหน้าที่ยังค้นหาเลือดที่จุดเสือตายอีกด้วย และสันนิษฐานจุดที่ชำแหละ ชุดที่เข้ามาล่าเมื่อยิงแล้ว มายิงซ้ำ และนำภาชนะเช่นผ้าใบ ผ้ายาง หรือผ้าขนาดที่ใส่ห่อหุ้มตัวเสือได้นำมารองและช่วยกันยกไม่น้อยกว่าสองคน ซึ่งเสือตัวนี้ วันที่ 4 เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตกค้นเจอเครื่องในเสือดำ ตรงจุดใกล้ๆ นี้ เครื่องในเสือดำ มีน้ำหนักถึง 17 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักตัว ประมาณหนึ่งในสาม ฉะนั้น เสือดำตัวนี้จะมีน้ำหนักประมาณ 45 ถึง 50 กิโลกรัม จึงต้องใช้สองคนยกมาชำแหละ เมื่อชำแหละแล้วนำเกลือป่นมาคลุกเพื่อรักษาหนัง รักษาอายุของหนังให้คงทนขึ้นอีกใช้เกลือจำนวนสองถุง แล้วนำเนื้อเสือดำทั้งหมดกลับไปที่พัก ส่วนเครื่องในทิ้งไว้ข้างจุดชำแหละ

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image