อภ.เดินหน้า รง.นำร่องวิจัยกัญชา ล้อตามร่างประมวลกม.ยาเสพติด ชง ครม.สัปดาห์หน้า

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ครั้งที่ 1 /2561  ซึ่งมี นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธานคณะกรรมการฯ ซึ่งแต่งตั้งโดยนพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)  กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ ว่า ในการประชุม นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการ สธ.ได้เข้ามามอบนโยบายก่อนหารือ โดยย้ำว่า ประเทศไทยคงต้องปรับเปลี่ยนว่า สิ่งใดเป็นประโยชน์ก็ต้องดำเนินการ  อย่าง กัญชา แม้จะมีทั้งประโยชน์และโทษ แต่จะทำอย่างไรให้เป็นนวัตกรรมเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งในการประชุมกำหนดว่าต้องมีการดำเนินการให้ครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางในเรื่องปลูกพัฒนาสายพันธุ์ การสกัดสาร การนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ทั้งแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนปัจจุบัน และโรคทางสมอง รวมทั้งการควบคุม เป็นต้น

นพ.โสภณ กล่าวว่า ที่ประชุมได้ตั้งคณะทำงาน 4 คณะ  ประกอบด้วย 1. คณะทำงานเพื่อการพัฒนาการปลูกและปรับปรุงสายพันธุ์ โดยให้องค์การเภสัชกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ  2.คณะทำงานเพื่อพัฒนาสารสกัดและการตรวจวิเคราะห์สังเคราะห์ โดยองค์การเภสัชกรรมเป็นหน่วยงานหลักเช่นกัน  3.คณะทำงานเพื่อพิจารณาการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยมีกรมการแพทย์ และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ และ4.คณะทำงานเพื่อวางระบบการควบคุมในการศึกษาวิจัยและการใช้ทางการแพทย์ ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ

“โดยการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์จะเริ่มก่อน ว่าในแผนปัจจุบันและแผนไทยมีโรคอะไรที่ใช้กัญชารักษามาก และสัดส่วนของสารสำคัญในกัญชา คือ  tetrahydrocannabinol (THC) และ cannabidial (CBD)  ควรเป็นอย่างไร เพื่อบอกให้คณะที่ 1 และคณะที่ 2 ไปพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ทางการแพทย์จริงๆ ที่สำคัญ ทางอย. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ต้องวางระบบทั้งหมด” นพ.โสภณ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การดำเนินการดังกล่าวจะต้องรอการปรับแก้ประมวลกฎหมายยาเสพติดหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า  ทางกฎหมายมี 2 ประเด็น คือ 1.กฎหมายปัจจุบัน พ.ร.บ.ยาเสพติด พ.ศ.2522 สามารถอนุญาตปลูกได้ แต่ยกเว้นใช้ในคน และ 2. ขณะนี้มีประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งมีการปรับปรุงอยู่ โดยทราบจากทาง ป.ป.ส.ว่าจะเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในสัปดาห์หน้า เพื่อเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ซึ่งอยู่ที่สนช.จะพิจารณาแล้วเสร็จเมื่อไหร่  ซึ่งตามขั้นตอนจะมีผลบังคับใช้ได้ใน 180 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา  โดยหากประมวลกฎหมายนี้ออกมาแล้ว ก็จะสามารถวิจัยในคนได้

Advertisement

เมื่อถามว่าการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์จะเน้นกลุ่มโรคไหนก่อน ประธานกรรมการฯ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ที่ใช้กันในต่างประเทศจะเป็นโรคทางสมอง ทั้งโรคลมชัก พาร์กินสัน เจ็บปวดเรื้อรังจากมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนมะเร็งอื่นๆ หรืออัลไซเมอร์ ออทิสติกก็ต้องพิจารณาข้อบ่งชี้ต่างๆ และศึกษาวิจัยต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้พื้นที่ใดในการศึกษาวิจัยทั้งพัฒนาสายพันธุ์และทดลองสกัดสารสำคัญ นพ.โสภณ กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรมจะทำร่างเสนอเพื่อขออนุญาตดำเนินการ โดยจะมีการใช้ตึกขององค์การเภสัชกรรม ที่ถนนพระรามหก ทำเป็นระบบปิด โดยทำการเพาะพันธุ์ปลูกชั้นบน ควบคุมปัจจัยต่างๆ ทั้งอุณหภูมิ แสงแดด ส่วนชั้นล่างจะเป็นที่สกัดสาร โดยใช้พื้นที่ 1,100 ตารางเมตร โดยใช้กัญชาแห้ง 500 กิโลกรัมต่อปี เพื่อใช้สกัดเป็นสารสำคัญมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์กับผู้ป่วย คาดว่า 1 คนต่อ 1 กิโลกรัม งบเบื้องต้นน่าจะประมาณ 10-20 ล้านบาทขึ้นอยู่กับเครื่องจักรในการสกัด

เมื่อถามว่าในส่วนของอย.จะดูแลอย่างไร นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นทางจะดูตั้งแต่การขออนุญาตการปลูก การกระจาย และพิจารณาว่าการใช้สารสกัดเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ขอหรือไม่ ซึ่งเน้นการวิจัยพัฒนา และทดลองในสัตว์ แต่ในคนยังไม่ได้ ที่ผ่านมามีผู้ขอวิจัยพัฒนาเพียงแค่มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งไม่ได้ขอปลูก แต่ขอการใช้สารสกัดเพื่อนำมาพัฒนาการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่เป็นการวิจัยในห้องปฏิบัติการ ในสัตว์ทดลอง แต่ยังไม่ได้ศึกษาทดลองในคน

Advertisement

ด้าน ผศ.วิเชียร กีรตินิจกาล นักปรับปรุงพันธุ์ อาจารย์ประจำภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า  เรื่องการปลูกกัญชานั้นช่วงแรกจะมีการนำเข้าสายพันธุ์กัญชาจากต่างประเทศ 20 สายพันธุ์  ซึ่งอาจนำเข้าจากแคนาดา  แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะนำเข้ามาจำนวนเท่าไหร่ โดยนำเข้าเพื่อวิจัยปริมาณสารสำคัญต่างๆ  และพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมเมืองไทย เพราะต้องยอมรับว่าสายพันธุ์ต่างประเทศพอเอาเข้ามาแล้วต้องมาทำระบบสิ่งแวดล้อมรองรับอีก อาจจะเป็นลูกผสมกับสายพันธุ์ไทยก็ได้หากทำได้ก็จะลดต้นทุนลงไปได้มาก    ส่วนการหาสายพันธุ์จากของไทยนั้น ก็สามารถทำได้ โดยอาจมีทีมในการสำรวจแหล่งธรรมชาติ เพราะในประเทศไทยมักพบในแถบอีสาน เช่น   สกลนคร เป็นต้น

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image