เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะเศรษฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ และวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในนาม Social Science Forum ร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) และกลุ่มองค์กรทางสังคมต่างๆ จัดกิจกรรมวิชาการ “D-Move ก้าวที่ดีเลือกทางที่เดิน”
เวลา 09.30 น. มีการเสวนา “สถานการณ์สิทธิชุมชน เกษตร และทรัพยากรธรรมชาติในปัจจุบันและอนาคต ดำเนินรายการโดย น.ส.กิตติกาญจน์ หาญกุล วิทยาลัยพัฒนาศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ม.ธรรมศาสตร์
ดร.เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล กล่าวว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมคนเมืองจะสนใจเรื่องเสือดำ ป่าแหว่ง หรือเรื่องเขื่อนและโรงไฟฟ้าบ้าง แต่ คสช.ได้ดำเนินการอีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อคนที่พึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะนโยบายทวงคืนผืนป่า และออกกฎระเบียบให้การใช้ทรัพยากรรวดเร็วมากโดยไม่มีการตรวจสอบ คสช.อ้างว่าเข้ามาเรื่องการเมือง เพื่อปฏิรูปประเทศไม่ให้นักการเมืองบางกลุ่มเข้ามายุ่ง แต่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เข้ามาจัดแจงชีวิตประชาชนหลายรูปแบบ คสช.และสถาบันทหารพยายามแทรกแซงเรื่องการจัดการทรัพยากรนานแล้ว ตั้งแต่ยุคคอมมิวนิสต์จัดการคนชนบทโดยยกเรื่องป่าเข้ามาเป็นนโยบายความมั่นคง โดยมองว่าคนในป่าเป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติ นำไปสู่การขับไล่คนออกจากป่าที่ขีดเส้นอนุรักษ์ขึ้นมา ทำให้เกิดการโยกย้ายชุมชนโดยเฉพาะช่วงที่ทหารมีอำนาจ
“ที่ผ่านมาหลายสิบปีจากการต่อสู้ของประชาชนทำให้เกิดแนวปฏิบัติใหม่ที่เห็นหัวประชาชนมากขึ้น แต่ 4 ปีที่ผ่านมาของ คสช. หลักการเหล่านี้ถูกยกเลิกเกือบทั้งหมด ยกเลิกขั้นตอนตรวจสอบต่างๆ เช่นการทวงคืนผืนป่าที่ออกคำสั่งให้กองทัพและ กอ.รมน.เป็นผู้ดูแล มีการยกเลิกอีไอเอ ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่คนประท้วงกันมากสมัยทักษิณ ชินวัตร หลักประกันคุ้มครองสิ่งแวดล้อมถูกตัดหมด และปิดกั้นพื้นที่การมีส่วนร่วมและการต่อรองของประชาชน สิ่งที่ประชาชนเคยต่อสู้กันมาถูกยกเลิกหมด สิ่งที่เราต้องการคือรัฐบาลที่เห็นหัวประชาชน ซึ่งทำได้ด้วยการเลือกตั้ง เพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคนี้สะท้อนว่าไม่เห็นหัวประชาชน” ดร.เบญจรัตน์กล่าว
น.ส.สุภาภรณ์ มาลัยลอย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คำสั่งทวงคืนผืนป่าของ คสช.รุนแรงมาก ให้ดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้บุกรุก เกิดการเข้าทำลายตัดต้นไม้ชาวบ้านโดยยังไม่ได้มีการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน จนเกิดเรื่องป่าแหว่ง คนจึงตั้งคำถามว่าสิทธิในการตัดสินใจว่าใครควรอยู่ในที่ดินเหล่านี้อยู่ที่ใคร แล้วยังมีคำสั่งยกเว้นผังเมืองในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โรงไฟฟ้าขยะ โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงงานกำจัดขยะ แม้ภาคประชาชนฟ้องศาลปกครอง แต่ศาลชี้ว่าไม่มีอำนาจตรวจสอบมาตรา 44 รวมถึงให้เปิดประมูลหาผู้ก่อสร้างก่อนการทำอีไอเอได้
“นอกจากนี้คำสั่งห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนขึ้นไป แม้จะทำตาม พ.ร.บ.ชุมนุม แต่ จนท.ก็ใช้ดุลพินิจว่าจะขัดคำสั่ง คสช.หรือไม่ จำกัดเสรีภาพแสดงออกของประชาชน และมีคำสั่งให้อำนาจทหารค้น จับกุมกักตัว 7 วันต่อผู้มีอิทธิพล แต่กลายเป็นว่าประชาชนที่ออกมาต่อต้านเรื่องสิ่งแวดล้อมถูกมองว่าเป็นผู้มีอิทธิพลไป ที่น่าเป็นห่วงคือคำสั่งที่เกี่ยวกับการตั้งเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี โดยให้ดำเนินการตั้งแต่ยังไม่มี พ.ร.บ.อีอีซี ยกเลิกผังเมือง ให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดินได้นานมาก มีการยกเลิกกฎหมายหลายฉบับ ถ้าจะมองอนาคตที่คุ้มเครื่องเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขภาพต่างๆ ต้องให้ยกเลิกคำสั่งประกาศกฎหมายที่ละเมิดสิทธิ และให้ออกกฎหมายใหม่ที่คุ้มครองสิทธิประชาชน” น.ส.สุภาภรณ์กล่าว
นายไพฑูรย์ สร้อยสด สมัชชาคนจน กล่าวว่า ที่ผ่านมามีความพยายามลดจำนวนเกษตรกรเพื่อทำให้ราคาพืชผลสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่แก้ปัญหาราคาพืชผล กรณีการแก้ปัญหาข้าวก็ให้ไปปลูกอ้อย ข้าวโพด หรือหมามุ่ยแทน หน้าแล้งก็ไม่ปล่อยน้ำให้ทำนา ส่งทหารไปคุมเครื่องสูบน้ำ แม้ก่อนรัฐประหารราคาข้าวไม่สูงมากแต่รัฐบาลก็ยังช่วยเหลือบ้าง แต่ คสช.บอกให้เปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่น แล้วช่วงหลังพอราคาข้าวสูงขึ้น คสช.ก็บอกว่าเป็นผลงานตัวเองแต่ที่จริงเป็นเพราะภัยธรรมชาติ ผลผลิตจึงน้อย หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ให้วิธีแก้ปัญหาราคาผลผลิตต่างๆ ตกต่ำด้วยการให้ไปปลูกพืชอื่น แล้วปรากฏว่าคนปลูกแล้วขายไม่ได้จริง ตนจึงระวังว่าหากแนะนำให้ปลูกอะไร ตนจะเลี่ยงปลูกพืชชนิดนั้น