มติชน สมาร์ทบิซ วันที่ 31 ส.ค.2559
นาย นพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวว่า มูลค่าการส่งออกเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีมูลค่า 17,415 ล้านบาท ลดลง 4.43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้คาดว่าภาพรวมการส่งออกปี 59 จะหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันอย่างแน่นอน โดยจากการประเมินความสามารถในการส่งออกที่จะทำได้ในช่วงที่เหลือของปี เฉลี่ยเดือนละ 17,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้การส่งออกปีนี้ติดลบ 2% อย่างไรก็ตาม หากไม่นับรวมการส่งออกทองคำ ซึ่งไม่ใช่สินค้าอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดการผลิตและจ้างงาน และรายการพิเศษอย่างการส่งออกอาวุธในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การส่งออกที่แท้จริงจะติดลบถึง 5.5%
โดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ประกอบด้วยการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก หลังจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมากองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ปรับลดประมาณการการขยายตัวเศรษฐกิจโลกปีนี้ จากเดิม 3.2% เหลือ 3.1% ขณะที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญเนื่องจากกระทบความสามารถในการแข่งขันของไทยโดยตรง ซึ่งหากเทียบกับประเทศคู่แข่งสำคัญของไทยอาทิจีนและเวียดนาม พบว่าตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 26 สิงหาคม 59 เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 4.41% ขณะที่ค่าเงินหยวนของจีนและเงินดองของเวียดนาม อ่อนค่าลงไป 1.27% และ 0.04% ตามลำดับ ซึ่งค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและเกิดความผันผวน มาจากเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดทุนเป็นหลัก ซึ่งค่าเงินที่ผันผวนเป็นปัญหาต่อการตกลงราคาซื้อขายกับผู้นำเข้า โดยเฉพาะการขอปรับขึ้นราคาสินค้า
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการที่ไทยถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง และมีการแพร่ระบาดของไวรัสซิก้า ทำให้ประเทศปลายทางสินค้าส่งออกรายใหญ่อย่างจีน เพิ่มเข้มงวดในการตรวจรับสินค้า โดยผู้ส่งออกต้องมีต้นทุนค่าพ่นฆ่าเชื้อตู้สินค้าเพิ่มอีกอย่างน้อย 4,000 บาทต่อตู้
