มติชน สมาร์ทบิซ วันที่ 14 ก.ย.2559
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา ทิศทางเศรษฐกิจและค่าเงินโลก เตรียมรับมือกับความผันผวนไตรมาสสุดท้ายว่า แนวโน้มค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ยังมีความผันผวนตามกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าออกในประเทศตลาดเกิดใหม่ ตามการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ที่น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งในเดือนธันวาคม กระทบค่าเงินบาทที่สิ้นปีอาจอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในปีหน้า ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันนี้ คาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% และไม่น่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ย อย่างน้อยจนกว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าจีดีพีปีนี้ยังขยายตัวในกรอบ 2.5 ถึง 3.5% แรงส่งมาจากการเบิกจ่ายและลงทุนภาครัฐ ส่วนการส่งออกยังประเมินไว้ที่ติดลบ 2% และคงไม่ฟื้นตัวเร็วๆ นี้ เพราะตลาดประเทศคู่ค้ายังไม่ฟื้นตัว และการหาตลาดใหม่ทำได้ยาก นอกจากนี้ ในส่วนของการท่องเที่ยวที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังต้องระวังผลกระทบจากการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของค่าเงินหยวน ทำให้กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งมีสัดส่วนสูงมากในปัจจุบันลดลง เนื่องจากเป็นช่วงสุดท้ายที่ธนาคารกลางของจีนจะสามารถแทรกแซงค่าเงินได้ ก่อนที่จะข้าสู่สถานะเอสซีอาร์ในเดือนตุลาคมนี้
ด้านนางสาวกิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ปัจจัยที่จะกระทบกับเศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปี มาจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐที่อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งจะมีผลทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนมากขึ้น รวมถึงยังต้องจับตาการเลือกตั้งสหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพราะจะมีผลต่อทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ อาทิ การเดินหน้า TPP ต่อหรือไม่ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากช่วงที่ผ่านมา แต่อาจต้องจับตาตัวเลขการส่งออก หากติดลบมากกว่า 2% อาจทำให้จีดีพีปีนี้ขยายตัวต่ำกว่า 3% ได้
