ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
การสัมมนาเรื่อง “อนาคตประชาธิปไตยไทย ข้ามพ้นกับดักและความหวัง” ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดให้ผู้แทนพรรคการเมืองไปพูดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่น้อย
ประเทศไทยเราห่างเหินจากเวทีการเมืองอย่างเป็นทางการมานานพอควร ด้วยเงื่อนไขข้อห้ามจากคณะรัฐประหารที่กังวลถึงความวุ่นวาย ทำให้ความพยายามที่จะจัดเสวนาทางการเมืองก่อนหน้านั้นถูกห้ามมาตลอด
เวทีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครั้งนี้ จึงเป็นการเริ่มที่น่าจะทำให้มีเวทีที่อื่นเกิดขึ้นตามมาอีกต่อเนื่องอันเป็นนิมิตหมายที่ดีของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เนื้อหาบนเวทีก็น่าสนใจ
ตัวแทนจากพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค นายจาตุรนต์ ฉายแสง จากพรรคเพื่อไทย และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจในนามพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นน้องใหม่ในเวทีการเมือง เดินหน้าไปในหลักการเดียวกันคือ ยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย และต่อต้านเผด็จการ มีความเห็นสอดคล้องกันในทางที่จะเร่งเร้าให้ปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับประชาชนได้เสียที พร้อมกับจุดยืนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้คืนสู่ประชาธิปไตย
มีเพียง นายไพบูลย์ นิติตะวัน จากพรรคประชาชนปฏิรูป ที่ประกาศชัดเจนมานานแล้วว่าตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เท่านั้นที่เรียกร้องให้ประชาชนยอมจำนนต่อการครอบงำของอำนาจไปอีก 5 ปี ด้วยความเชื่อที่ว่าหลังจากนั้นจะชอบ
ซึ่งก็ว่าไปกันไปตามจุดยืนของแต่ละพรรค ซึ่งที่สุดแล้วประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ทั้งในผลการเลือกตั้ง และการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจ
การเมืองหลังการเลือกตั้งจะเป็นคำตอบ
แต่ที่น่าสนใจ และกลายเป็นประเด็นที่นำมานำเสนอต่อเนื่องในโลกออนไลน์กันคึกคัก ในทำนองสะใจที่ “ธนาธรถูกอภิสิทธิ์สอนมวย”
เรื่องราวมีอยู่ว่าการอภิปรายในงานสัมมนานี้ตอนหนึ่ง “ธนาธร” พูดถึงเหตุที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เริ่มพัฒนามาพร้อมๆ กับมาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลี ประเทศเหล่านั้นกลับนำหน้าไปไกล ขณะพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทยยังไปไม่ถึงไหน โดย “หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่” มองว่าเหตุที่ทำให้พัฒนาการหยุดชะงักเพราะประเทศถูกรัฐประหาร ต้องบริหารในระบอบเผด็จการมาเป็นระยะ และไม่สิ้นสุด
เป็นการยกประเด็นขึ้นมาเพื่อประกาศต่อทำนองว่าหากพรรคอนาคตใหม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาจะขุดรากถอนโคนไม่ให้การรัฐประหารเกิดขึ้นอีก
ความน่าสนใจอยู่ที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาชี้ให้เห็นทำนองว่าพัฒนาการทางเศรษฐกิจไม่น่าจะเกี่ยวกับประชาธิปไตย เพราะอย่างสิงคโปร์ไม่น่าจะได้รับการยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตย และประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตมากที่สุดอย่างจีนก็เป็นประเทศที่รับรู้กันว่าเป็นเผด็จการ
ตรงนี้เองดูเหมือนว่า “อภิสิทธิ์” จะทำให้ “ธนาธร” เสียหน้าได้สำเร็จ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอ่อนหัดดังกระหึ่ม
เรื่องราวดูจะเป็นเช่นนั้นในเบื้องแรก
เพียงแต่ว่า ในกระแสที่ประชาชนได้รับบทเรียนมากว่า 4 ปีจากการบริหารของ คสช. และเสียงเรียกร้องรัฐบาลประชาธิปไตยดังให้ได้ยินชัดขึ้นเรื่อยๆ
พลังที่จะเอาชนะอำนาจที่เหนือกว่า จำเป็นต้องผนึกรวมการกระตุ้นให้ประชาชนได้ตระหนักในหลายเรื่อง
การเอาชนะคะคานกันด้วยการเลือกพูดในเรื่องปลีกย่อย เพื่อแสดงความเหนือกว่า เป็นวิธีการทางการเมืองเรียกความสะใจให้กับคนบางกลุ่มที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามประชาธิปไตย
เป็นเรื่องที่น่าจะถูกตั้งคำถามจากฝ่ายประชาธิปไตย
โดยมีความเป็นไปของ “เศรษฐกิจในมือเผด็จการ” เป็นโจทย์
และรายละเอียดผู้มีอำนาจที่ถูกชี้ว่า “ไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นเผด็จการ” ของ “สิงคโปร์” และ “จีน”
อย่างน้อยเพื่อให้เห็นว่า “เหมือนหรือไม่เหมือนกับที่มาของผู้นำเผด็จการในไทยอย่างไร”
สุชาติ ศรีสุวรรณ