เงินทุนไหลออกฉุดบาทอ่อนสุดรอบ6เดือน ‘สมคิด’-‘อภิศักดิ์’ ไม่กังวลให้แบงก์ชาติดูแล

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักวิเคราะห์ตลาดเงินและตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันที่ 18 มิถุนายน ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ 32.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากปิดสัปดาห์ก่อนที่ 32.42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และเคลื่อนไหวไปอ่อนค่าสุดที่ 32.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะย่อตัวลงมาที่ 32.73 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปัจจัยมีผลต่อค่าเงินบาทคือดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ และต้องติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปอีซีบีว่าจะมีการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดหรือไม่ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันกับตลาดทุนทั่วโลกและสกุลเงินเอเชีย รวมทั้งบาทมีโอกาสอ่อนค่าได้จากการปิดรับความเสี่ยง มองกรอบค่าเงินบาทที่ 32.35-32.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การประชุมนโยบายการเงินของไทยในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโนบายที่ 1.50%

ด้านกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา คาดว่าค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.55-32.90 ต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 เดือน สอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินภูมิภาคหลังอีซีบีส่งสัญญาณเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไป ซึ่งกระตุ้นแรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยด้วยมูลค่า 2.47 หมื่นล้านบาท และ 2.7 พันล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก แม้อีซีบีระบุว่าจะยุติการเข้าซื้อพันธบัตรก่อนสิ้นปีนี้ แต่การประกาศเลื่อนปรับขึ้นดอกเบี้ยของอีซีบี สวนทางกับแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เร็วกว่าคาดของเฟดทำให้ตลาดปรับคาดการณ์ใหม่ว่าอีซีบีจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนกันยายน 2562 ซึ่งล่าช้ากว่าที่เคยคาดไว้ 3 เดือน เหตุการณ์นี้สร้างความผันผวนให้กับค่าเงินในวงกว้าง โดยเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงและส่งแรงกระเพื่อมไปยังสกุลเงินอื่นๆ ให้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐด้วย ทั้งนี้ นักลงทุนทั่วโลกปรับลดการถือครองสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์ยังคงเผชิญปัจจัยลบเชิงโครงสร้าง อาทิ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รวมถึงนโยบายและเป้าหมายด้านการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ หรือแม้แต่การเปิดฉากสงครามการค้ากับจีน บ่งชี้ว่าสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้เงินดอลลาร์แข็งค่า ประเด็นนี้สนับสนุนมุมมองที่ว่าเงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าในช่วงปลายปีนี้ ด้านสำหรับปัจจัยภายในประเทศ กนง. จะมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% ในที่ประชุมวันที่ 20 มิถุนายน แต่การเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งในภูมิภาค ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยของสหรัฐฯและไทยที่กว้างขึ้น รวมถึงกระแสเงินทุนไหลออกที่เร่งตัว อาจทำให้การรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายภายในสิ้นปีนี้ แม้ว่าเงินเฟ้อของไทยจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ก็ตาม

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเงินทุนไหลออกและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าในช่วงนี้ว่า ไม่มีความกังวลต่อเรื่องนี้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ดูแลใกล้อยู่แล้ว

ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ค่าบาทที่อ่อนค่าก็ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ ซึ่งประเมินว่าแม้จะมีเงินทุนไหลออกไปแต่ยังไม่น่ากังวลเพราะยังมีเงินทุนต่างชาติเหลือในประเทศอีกมาก ทั้งนี้ ส่วนคำถามทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยจะยังทรงตัวหรือไม่ นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ความจำเป็นว่าจะต้องไปปรับขึ้นไปทำไม

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image