นายศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า สงครามค้าที่ของสหรัฐ ที่จะมีการกีดกันทางการค้าระหว่าง จีน เม็กซิโก และยุโรป คาดว่าจะกดดันบรรยากาศการค้าโลกและมีโอกาสที่จะดำเนินการต่อเนื่องไปอีก 2-4 ปี จะกระทบกับประเทศที่เน้นการส่งออกที่เชื่อมต่อกับประเทศที่ถูกกีดกันทางการค้า สำหรับในตลาดอาเซียนมีความเชื่อมโยงกับการค้ากับจีนสัดส่วนถึง 50% อย่างไรก็ดีปีนี้คาดว่า การส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ราว 280-420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผลกระทบการส่งออกโดยตรง อาทิ โซลาร์เซลล์และเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ เหล็กและอะลูมิเนียม รวมทั้งผ่านห่วงโซ่การผลิต(ซัพพลานเชน) และการทุ่มตลาดของสิสค้าจีนในอาเซียนอย่างไรก็ตาม ต้องติดตามวนปีต่อ ๆ ไป หากสหรัฐมีการกีดกันการค้ามากขึ้นและขยายยจำนวนสินค้า อาจจะทำให้ไทยเสียโอกาสส่งออกในกรณีที่เป็นซัพพลายเชน ของจีน ยุโรป ญี่ปุ่น และจีนอาจจะนำสินค้ามาทุ่มตลาด ประเมินปี 2562 กระทบราว 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถ้ายังกีดกันต่อไปคาดว่าจะยังกระทบเพิ่มมากขึ้นในปี 2563
“การกีดกันทางการค้าของสหรัฐเหตุผลหลัก คือผลทางการเมือง ซึ่งสหรัฐจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมปลายปีนี้ ขึ้นอยู่กับว่าคะแนนนิยมทางการเมืองจะสนับสนุนให้มีท่าทีแข็งกร้าวต่อไป หรือจะผ่อนปรนลง รวมทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2563 ที่โดนัลด์ ทรัมป์น่าจะลงสมัครอีกครั้ง อย่างไรก็ตามการดำเนินนโยบายดังกล่าวนำมาสู่การตอบโต้ของประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐซึ่งจะเป็นตัวบั่นทอนการค้าโลกและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า” นายศิวัสน์ กล่าว
นายศิวัฒน์ กล่าวว่า สงครามทางการค้ามีผลต่อค่าเงินบาท ทำให้นักลงทุนกังวลเรื่องความเสี่ยงมากขึ้นจึงมีการขายสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ไปถือดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สกุลเงินเอเชียอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทอ่อนค่าน้อยกว่าสกุลอื่น โดยตั้งแต่ต้นปีอ่อนค่าราว 1.3% เพราะไทยการเกินดุลบัยชีเดินสะพัดสูง 10.8% ของจีดีพีขณะที่บางประเทศเอเชียเกินดุลน้อยกว่าหรือขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เงินสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าภาระหนี้ต่างประเทศระยะสั้นและภาระหนี้ทั้งหมด ระยะสั้นคาดกรอบค่าเงินที่ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าคาดปลายปีที่ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยอยู่ระหว่างการปรับประมาณการณ์ใหม่
