ผู้ว่าธปท. ยันศก.ไทยแกร่ง เสถียภาพการเงินยังดี ไม่ซ้ำรอยวิกฤตปี40แน่นอน

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ออกข่าวประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ว่า ใกล้จะถึงวันที่ 2 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันครบรอบการลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อปี 2540 หลายคนคงอดคิดไม่ได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมี โอกาสกลับไปมีปัญหาวิกฤตเหมือนวันนั้นหรือไม่ ยิ่งในช่วงกลางปี 2561 ประเทศตลาดเกิดใหม่หลายแห่ง ประสบความระส่ำระสายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตุรกีและอาร์เจนตินา ต่างประสบภาวะเงินทุนไหลออกรุนแรงเพราะภาวะการเงินโลกเริ่มตึงตัวขึ้นและนักลงทุนต่างชาติเริ่มลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ประเทศที่พื้นฐานเศรษฐกิจไม่เข้มแข็งจึงได้รับผลกระทบรุนแรง ในกรณีของอาร์เจนตินาถึงกับต้องขอรับความ ช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) สูงถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากปี 2540 และได้เดินผ่านจุดดังกล่าวมาไกลแล้ว ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราได้ช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้นมาก เสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงินไทยมีความมั่นคง และดีกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่โดยรวม ยกตัวอย่างเช่นดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งสะท้อนความสามารถในการหารายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ปี 2560 เกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 11.2% ของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) หรือประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปีนี้คาดว่าจะเกินดุลถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่างจากช่วงก่อนเกิดวิกฤต ปี 2540 ที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องกันหลายปี เงินสํารองระหว่างประเทศของเราก็มีความมั่นคง สามารถเป็นกันชนรองรับแรงปะทะจากความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนโลกได้เป็นอย่างดี เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่รวมฐานะซื้อเงินตรา ต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจพนวนประมาณ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ สหรัฐ ซึ่งมากกว่าหนี้ต่างประเทศโดยรวมที่ 1.5แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น3.5เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ด้านหนี้ต่างประเทศโดยรวม ปัจจุบันอยู่ที่ 35% ของจีดีพี ลดลงจาก 70% ในช่วงปี 2540

นอกจากนี้ การถือครองพันธบัตร ของนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนเพียงประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดพันธบัตรทางการทั้งหมด ความ เสี่ยงในกรณีของไทยที่เงินทุนไหลออกจะกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจจึงต่ำกว่าประเทศอื่น ซึ่งพึ่งพิงนักลงทุน ต่างชาติในสัดส่วนสูงกว่า บางประเทศรอบบ้านของเรามีนักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรสูงกว่า 30% จึงอ่อนไหวในเวลาที่ตลาดการเงินโลกตึงตัวขึ้น

Advertisement

การดําเนินนโยบายเศรษฐกิจ หลังจากปี 2540 นโยบายการเงินของไทยเปลี่ยนมาใช้กรอบ เป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น ควบคู่กับระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว ซึ่งการเคลื่อนไหวของค่าเงินจะถูก กำหนดโดยกลไกตลาด ไม่สร้างความบิดเบือนในระบบอัตราแลกเปลี่ยน และไม่สร้างผลข้างเคียงในระบบ เศรษฐกิจเหมือนกับตอนที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ในช่วงปี 2540 โดยในกรอบปัจจุบัน ธปท. จะ ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่ค่าเงินผันผวนสูงผิดปกติจนอาจกระทบกับภาคเศรษฐกิจจริง

สำหรับการ ตัดสินนโยบายการเงินจะประเมินจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน เพื่อให้นโยบายการเงินเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศไทยมากที่สุด

ในด้านโครงสร้างพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจการเงิน เราขาดแคลนกลไกหลายด้านในช่วงก่อนเกิดวิกฤตปี 2540 ตลอด 20 ปีเราได้จัดตั้งหน่วยงานและกลไกต่าง ๆ เพิ่มขึ้น อาทิ บริษัทข้อมูล เครดิตแห่งชาติ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ บริษัทบริหารสินทรัพย์ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก เป็นต้น หน่วยงานก่ากับดูแล ทั้ง ธปท. ส่านักงานคณะกรรมการก่ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ประสานความร่วมมือกัน ใกล้ชิดมากกว่าเดิมมาก ตลอดจนมีความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือกันยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น มาตรการริเริ่มเชียงใหม่พหุภาคี (CMIM)ประกอบด้วยอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี

Advertisement

โครงสร้างที่ กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจการเงิน ตั้งแต่การมีระบบข้อมูลที่ดี การแจ้งเตือน เพื่อป้องกันวิกฤต ตลอดจนมีระบบที่พร้อมแก้ไขสถานการณ์หากเกิดวิกฤตขึ้น

ปัจจุบันภาคธุรกิจไทยมีความเข้มแข็งขึ้นมากเมื่อเทียบกับ 20 ปี ก่อน ดูจากผลประกอบการที่ดี ความสามารถในการแข่งขัน ธรรมาภิบาล และมีการระดมทุนที่หลากหลาย มากขึ้นจากทั้งสินเชื่อ ตราสารหนี้ และตราสารทุน นอกจากนี้ ผู้บริหารให้ความส่าคัญกับการบริหารความ เสี่ยงมากขึ้น โดยลงทุนอย่างระมัดระวัง ไม่ก่อหนี้เกินตัว สะท้อนจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ของภาคธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ 1.2 เท่า อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 2540 ซึ่งมี D/E ratio สูง ถึง 5 เท่า และขณะนี้ไม่ได้พึ่งพิงเงินกู้ระยะสั้นจากต่างประเทศจนเกิดปัญหา currency mismatch เหมือนกับช่วงก่อนปี 2540

ทั้งนี้ สถาบันการเงินไทยมีความเข้มแข็งกว่าเดิมมาก สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ลดลงต่อเนื่องจาก 45.0% เมื่อปี 2542 มาอยู่ที่ 2.9% ในไตรมาส1 ปี 2561 อีกทั้งสถาบัน การเงินมีเงินสำรอง เงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ดี อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) อยู่ที่ 18.0% สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค

อีกทั้ง ธปท. ได้นําเกณฑ์การกํากับดูแลสํากล (Basel III) มาประยุกต์ใช้เพื่อให้สถาบันการเงินมีความมั่นคงมาก ขึ้น อาทิ การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (liquidity coverage ratio : LCR) นอกจากนี้ “ธรรมาภิบาล”  เป็นประเด็นที่ทั้ง ธปท. และผู้บริหารของสถาบันการเงินต่างให้ความสําคัญมาก เพื่อให้ระบบการเงินไทยมีการบริหารจัดการที่ดี อาทิ การมีโครงสร้างคณะกรรมการที่ดีและมีคุณสมบัติเหมาะสม การสร้างวัฒนธรรมองค์กรในการดูแลความเสี่ยง การจัดท่าแผนล่วงหน้ารองรับการจัดการดูแลแก้ไขปัญหา (recovery plan) เป็นต้น

ในไตรมาส 4 ปีนี้ ไทยกำลังจะเข้าร่วมการประเมินภาคการเงิน (Financial Sector Assessment Program: FSAP) จัดทำโดยไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก ผลการประเมินดังกล่าวจะช่วยให้เราทราบว่ามีจุดอ่อนเรื่องใดบ้างที่ ต้องแก้ไขเพิ่มเติมเรียนรู้จํากอดีต ตื่นตัวกับปัจจุบัน พร้อมรับความท้าทายในอนาคต

แม้เศรษฐกิจไทยจะมีเสถียรภาพเข้มแข็งและคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาด การเงินโลกน้อยกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ แต่ทุกคนไม่ควรประมาท บทเรียนในอดีตจากวิกฤตปี 2540 สอนเราว่าความประมาทสามารถสร้างความเสียหายได้มากมายเพียงใด เราต้องลดจุดเปราะบางในระบบ การเงินเช่น การก่ากับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ และเตรียมรับความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่อาจเพิ่ม สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยความเสี่ยงที่สำคัญในปัจจุบันคือ สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกจะตึงตัวมากขึ้น จากการที่ธนาคารกลางของประเทศอุตสาหกรรมหลักลดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน

และผลกระทบจาก นโยบายกีดกันทางการค้าที่ตอบโต้กันระหว่างประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งจะท่าให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ชะลอลงและตลาดเงินตลาดทุนโลกผันผวนมากขึ้น ภาคธุรกิจจึงควรวางแผนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันรองรับความ เสี่ยงดังกล่าว โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งมีเครื่องมือทางการเงินหลายชนิดที่ สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

ในวันนี้ที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นและมีเสถียรภาพที่เข้มแข็ง เราต้องให้ ความสำคัญกับการปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายมิติเพื่อลดจุดเปราะบางที่เหลืออยู่ และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ สะสมมานาน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องแรงงาน คุณภาพการศึกษา ผลิตภาพ และความสามารถในการ แข่งขันของประเทศ เราจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม ในระบบเศรษฐกิจโลกที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงเร็วมาก สำหรับอนาคตแล้ว ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้จะเป็น เรื่องที่น่ากังวลมากกว่าเสถียรภาพด้านการเงิน

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image