นายอภิชาติ จีระพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า มีการประชุมว่าด้วยเรื่องมาตรการและแนวทางรักษาความปลอดภัยในการท่องเที่ยวทางถ้ำและทางน้ำ โดยมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมในช่วงบ่ายและเสร็จสิ้นการประชุมในช่วงเย็นวันที่ 13 กรกฎาคม ได้สรุปแผนการทำงานร่วมกันว่า แผนแรกคือการให้ทุกหน่วยงานกลับไปดูแลเรื่องพื้นที่ที่ตัวเองรับผิดชอบว่ามีแหล่งท่องเที่ยวใดที่ต้องหามาตราการป้องกันอย่างไรบ้าง เช่น กรณีถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน อยู่ในหน่วยงานที่เป็นความรับชอบของใคร ให้เข้าไปสำรวจพื้นที่ก่อนเพื่อทำความเข้าใจกับภูมิศาสตร์ในพื้นที่อย่างละเอียด
“ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ช่วยได้มากที่สุดเมื่อเกิดเหตุคือข้อมูลของสถานที่นั้นๆ ตัวอย่างกรณีถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน กลายเป็นผู้ที่มีข้อมูลทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ เราจึงต้องขอความร่วมมือจากต่างประเทศในการเข้ามาให้ความช่วยเหลือ หน่วยงานรัฐยังขาดข้อมูลอยู่” นายอภิชาติกล่าวและว่า อีกแผนคือการทำมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบเดียวกันนี้ขึ้นอีก ส่วนแผนระยะยาวต้องดูเรื่องกฎหมายว่าเพียงพอใช้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันได้หรือไม่
นายอภิชาติ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันว่ากรณีแหล่งท่องเที่ยวต้องมีการควบคุม ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าพื้นที่เองได้ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและอาจเกิดความสูญเสียตามมา ดังนั้น สถานที่บางแห่งต้องให้ประชาชนหรือนักท่องเที่ยวติดต่อเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องก่อนเข้าพื้นที่เพื่อความปลอดภัย
นายอภิชาติกล่าวว่าอีกหนึ่งกรณีเป็นเรื่องของการเตรียมความพร้อม หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินใดเกิดขึ้น มีแผนในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไรบ้าง กรณีนี้ได้ขอให้ทุกหน่วยงานกลับไปคิดแผน โดยให้นำกรณีตัวอย่าง เหตุการณ์ที่ถ้ำหลวงฯและเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ตมาเป็นแนวทาง คิด-วิเคราะห์ เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุต่อไป ส่วนที่เพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษและคิดว่าเป็นส่วนที่เร่งด่วนที่สุดขณะนี้ที่เป็นช่วงมรสุม โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตเพิ่งเกิดเหตุความสูญเสียควรต้องสร้างความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะเดินทางว่าถ้ามีธงแดงปักอยู่ ขอให้งดออกเรือ ถ้าเป็นธงเหลืองออกได้เฉพาะเรือแบบสู้คลื่นลมแรงได้เท่านั้น “แม้จะยังไม่มีกฎหมายบังคับ เราจะใช้แผนทำความเข้าใจและเป็นข้อตกลงร่วมกัน เป็นระยะเวลา 30 วันก่อน เพื่อให้เป็นแผนงานแก้ปัญหาในระยะสั้น”
