รื่นร่มรมเยศ : สามอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ (2) พระสีวลี : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

พระสีวลี เป็นพระเถระที่ชาวพุทธนับถือกันว่ามีลาภมาก พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสีวลีว่าเป็น ผู้เลิศในทางมีลาภ พระสีวลีเป็นบุตรของนางสุปปวาสา พระธิดาของเจ้าโกลิยวงศ์พระองค์หนึ่ง บิดาของพระสีวลีคือเจ้ามหาลิจฉวี ขณะที่ท่านอยู่ในครรภ์มารดา ท่านนำลาภมาให้มารดาเสมอ แต่ประหลาดตรงที่ท่านอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 7 ปีไม่ยอมคลอด มารดารู้สึกอึดอัดไม่น้อย นึกว่าตนเองคงมีกรรม มีเวรอะไรบางอย่าง อาจตายก่อนคลอดลูกก็ได้จึงคิดที่จะทำบุญกุศล บอกพระสวามีให้ไปทูลอาราธนาพระพุทธองค์และสั่งว่าถ้าพระพุทธองค์รับสั่งอย่างใดให้จำไว้ด้วย

พระสวามีไปกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จมาเสวยพระกระยาหาร พระพุทธองค์ตรัสว่า “ขอให้สุปปวาสาจงมีความสุข ปราศจากโรค และคลอดบุตรผู้ปราศจากโรคเถิด”

พระสวามีกราบถวายบังคมลา เมื่อกลับไปถึงวังก็ทราบว่ากุมารได้ประสูติแล้ว นางสุปปวาสาทราบพระพุทธดำรัสก็ปลื้มปีติอย่างยิ่ง บอกให้พระสวามีไปทูลอาราธนาพระองค์มาเสวยพระกระยาหารติดต่อกัน 7 วัน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองบุตรเกิดใหม่

ว่ากันว่าพระกุมารน้อยได้ช่วยเอาธมกรกกรองน้ำดื่มถวายพระสงฆ์ หลังจากเกิดมาไม่นาน เป็นที่อัศจรรย์ บางท่านก็ว่ากุมารอยู่ในครรภ์ถึง 7 ปี คลอดออกมาแล้วก็ย่อมมีความสามารถดุจเด็ก 7 ขวบ แต่คัมภีร์กล่าวว่า เพราะบารมีที่กุมารบำเพ็ญมาแต่ปางก่อนจนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้กลายเป็นธรรมดาของกุมารไป มิใช่เรื่องมหัศจรรย์อันใด หากเป็นผลสัมฤทธิ์ของบุญ

Advertisement

พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานนามพระกุมารว่า “สีวลี” สีวลีเจริญอายุมาได้ 7 ขวบ รู้ความเป็นมาของชีวิตของตน กอปรกับบุญญาธิการแต่ปางหลังเตือน จึงสลดใจคิดอยากบวช ปรารภความนี้กับพระสารีบุตร พระสารีบุตรจึงขออนุญาตนางสุปปวาสาพระมารดา นางก็อนุญาต

สามเณรสีวลีก็สำเร็จพระอรหัตผลทันทีที่ปลงผมเสร็จนับตั้งแต่ท่านบรรพชามา ปัจจัยสี่ได้เกิดขึ้นแก่ท่านมากมายลาภผลเหล่านั้นได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์ทั้งปวงด้วย

ไม่ว่าพระสีวลีจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะทุรกันดารเพียงใดมักจะมีผู้นำอาหารบิณฑบาตมาถวายเสมอ แม้จะไปพร้อมพระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ ต่างก็มีอาหารฉันอย่างเพียงพอ ไม่ขาดแคลน ความที่ท่านเป็นผู้มีลาภมาก

สมัยหนึ่งพระพุทธองค์พร้อมพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากเสด็จเพื่อไปเยี่ยมพระเรวตะ (ขทิวนิยเรวตะ) ผู้อยู่สงัดวิเวกรูปเดียวในป่าสะแก ไปถึงทางแยกแห่งหนึ่ง พระอานนท์กราบทูลว่าทางหนึ่งเป็นทางอ้อม ระยะทางถึง 60 โยชน์ ตามรายทางมีหมู่บ้าน อีกทางหนึ่งเป็นทางตรง ระยะทางเพียง 30 โยชน์ ไม่มีคนอยู่เลย เป็นทางทุรกันดารเราควรไปทางไหน

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “สีวลีมากับเราด้วยหรือเปล่า”

“มา พระพุทธเจ้าข้า” พระอานนท์กราบทูล

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเราไปทางลัด”

แล้วพระองค์ก็เสด็จดำเนินนำหน้าไป เหตุที่พระพุทธองค์ไปทางลัด ก็เพราะทรงทราบว่า ไม่ว่าจะไปทางไหน ถ้ามีพระสีวลีไปด้วย ย่อมไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต ซึ่งก็จริงตามนั้น เหล่าเทวดาที่สิงอยู่ในป่าต่างก็นำอาหารมาถวายพระพุทธองค์และพระสงฆ์ตลอดเส้นทางที่ผ่าน เพราะผลบุญของสีวลี

การที่พระสีวลีมีลาภมากก็ดี ต้องอยู่ในครรภ์พระมารดาถึง 7 ปีกว่าจะคลอดก็ดีล้วนเป็นผลบุญและบาปที่ทำไว้แต่ปางก่อน ในคัมภีร์อปทาน ท่านได้เล่าอัตชีวประวัติไว้ว่า

ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระสีวลีเคยเป็นกษัตริย์เมืองหนึ่ง ท่านถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แล้ว ตั้งความปรารถนาอยากได้เอตทัคคะในทางผู้มีลาภ ต่อมาในอีกชาติหนึ่ง ท่านเกิดเป็นกุลบุตรผู้ยากไร้ ได้ถวายน้ำผึ้งกับนมส้มแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ด้วยศรัทธาอย่างยิ่ง ด้วยอานิสงส์แห่งผลทานนั้นท่านจึงเป็นผู้มีลาภมากในชาตินี้

ในส่วนที่ท่านต้องทุกข์ทรมานอยู่ในครรภ์ถึง 7 ปีจึงคลอดนั้น ท่านมิได้กล่าวไว้ แต่พระสงฆ์ได้ทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงเล่าว่า ในชาติหนึ่ง พระสีวลีเกิดเป็นกษัตริย์ยกทัพไปล้อมเมืองข้าศึกเพื่อเอาเป็นเมืองขึ้น ล้อมอยู่ 7 ปี จนกระทั่งชาวเมืองเดือดร้อนมาก จึงลุกฮือขึ้นจับพระราชาของตนสังหาร แล้วยกเมืองให้กษัตริย์ผู้บุกรุก เพื่อยุติปัญหา เพราะผลบาปจากเสวยผลกรรมในนรกมานาน

พิเคราะห์ตามประวัติของพระสีวลี ท่านมีลาภมากเพราะผลทานที่ถวายด้วยจิตที่เลื่อมใส ทำให้มีข้อคิดแก่เราชาวพุทธว่า ถ้าเราอยากได้อะไร เราก็ควรให้ก่อน การทำบุญทำทานคือการให้

เพราะฉะนั้นท่านที่อยากได้ลาภ ถึงกับอุตส่าห์ไปเช่าพระสีวลีมาบูชา ก็ควรปฏิบัติตามปฏิปทาของพระสีวลีนั่นคือให้รู้จักทำบุญทำทานมากๆ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้มาก ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อนั้นแหละลาภผลก็จะหลั่งไหลมาสู่ท่านไม่รู้จักหมดสิ้น

คนที่เอาแต่ได้ บุญทานไม่เคยทำ ถึงจะแขวนพระสีวลีเต็มคอ ก็คงหาลาภไม่ได้อยู่ดี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image