นางสาวนฎา วะสี สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้สถาบันการเงินยังไม่สามารถประเมินความเสี่ยงของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ทำให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้ยากและเข้าถึงได้น้อยมาก พบว่าปัจจุบันมีเอสเอ็มอีเพียง 17% หรือราว 5.2 แสนราย จากเอสเอ็มอีทั้งระบบกว่า 3 ล้านรายที่เข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยเอสเอ็มอีที่เข้าถึงสินเชื่อได้ยากเฉพาะเอสเอ็มอีที่เป็นบริษัทที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี มีสินทรัพย์ถาวรต่ำ ไม่มีหลักทรัพย์มาต้ำประกัน มีรายรับต่ำ ไม่มีประวัติการเงินและการทำธุรกิจ แม้ว่าบางบริษัทจะมีอัตรากำไรดี ทำให้สถาบันการเงินไม่อยากปล่อยกู้หรืออาจเสนออัตราเงินกู้ที่สูงเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่ประเมินไม่ได้ ทำให้บริษัทไม่กู้ ดังนั้น ภาครัฐต้องตระหนักถึงปัญหาการเข้าใจข้อมูลที่ไม่ตรงกันทั้งฝ่ายสถาบันการเงินและเอสเอ็มอี และควรเพื่มความโปร่งใสของข้อมูลเพื่อพยายามช่วยเหลือให้เอสเอ็มอีเจ้าถึงสินเชื่อได้ โดยอาจจะมีการนำข้อมูลใหม่ ๆ เข้ามาพิจารณาร่วมในการให้กู้ เช่น การทำบัญชีเดียว ข้อมูลการทำธุรกรรมดิจิทัล พฤติกรรมการชำระเงินต่างๆ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น
“นโยบายการให้สินเชื่ออาจจะใช้นโยบายแบบ Bottom-up ควรให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถจะนำเสนอข้อมูลประกอบการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินได้เองว่าข้อมูลใดที่จะสะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบการเหล่านั้น ซึ่งจะช่วยให้การเจ้าถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอีเพิ่มมากขึ้น” นางสาวนฎา กล่าว
นางสาวกุลนรัตน์ สามัคคีนิช ผู้แทนจากบริษัท เลนโด ผู้ให้บริการด้านข้อมูล กล่าวว่า เลนโดมีการเชื่อมต่อข้อมูล กับ เฟซบุ๊ก จีเมล ทวิตเตอร์ ลิงค์อิน เป็นต้น ได้เริ่มเข้ามาทำตลาดในไทยราว 1 ปี โดยมีแผนที่จะเขื่อมต่อข้อมูลกับผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือในไทยเพิ่ม แต่ยังติดขัดในแง่ของกฎหมาย โดยขณะนี้มีพันธมิตรที่เข้ามาใช้บริการเพื่อนำข้อมูลต่างๆ ไปใช้ประกอบเพิ่มในการพิจารณาสินเชื่อ เช่น บริษัทที่ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ(ลิสซิ่ง) เช่น รถยนต์และจักรยานต์ รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการเก็บข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อเพิ่มเติมจากข้อมูลที่มีอยู่ โดยจากการใช้งานข้อมูลเหล่านี้ในต่างประเทศพบว่า ช่วยให้มีการอนุมัติสินเชื่อได้และทำให้มีคนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น คาดว่าจะส่งผลดีกับไทยในลักษณะเดียวกัน
