เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม นายประเสริฐ อินทับ ผู้อำนวยการเขื่อนศรีนครินทร์ เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 172.99 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นปริมาณน้ำ 14,955.06 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 84.28% ของพื้นที่อ่างเก็บน้ำ ซึ่งถ้านำมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์น้ำในวันเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมา อ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์มีข้อมูลระดับน้ำอยู่ที่ระดับ 167.24 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นปริมาณน้ำ 12,888.42 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 72.63% ของพื้นที่อ่างเก็บน้ำ ถือได้ว่าปริมาณน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ได้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว 9.65%
นายประเสริฐกล่าวอีกว่า ในด้านสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน ที่ไทยโดนอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลาง ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง รวมถึง ใน จ.กาญจนบุรี ที่มีฝนตกชุกตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เฉลี่ยแล้วช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำ 52.29 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนศรีนครินทร์ที่สามารถใช้ได้มีจำนวน 4,690.28 ล้านลูกบาศก์เมตร และได้ระบายน้ำออกตามแผนการระบายน้ำโครงการชลประทาน วันละ 7 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ยังรับน้ำได้อีก 2,790.03 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงทำให้มั่นใจได้ว่าอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ยังครองรับน้ำฝนได้อีก โดยไม่เกิดผลกระทบต่อความมั่นคง และปลอดภัยของตัวเขื่อน รวมถึง ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชนท้ายน้ำอย่างแน่นอน
นายไววิทย์ แสงพานิชย์ ผู้อำนวยการเขื่อนวชิราลงกรณ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งมีความจุอ่าง 8,860 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่ระดับ 155 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) โดยข้อมูล ณ วันที่ 26 กรกฎาคม เวลา 16.00 น.มีปริมาณน้ำในเขื่อน 6,635 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 75% โดย กฟผ.เขื่อนวชิราลงกรณ มีแผนการระบายน้ำระหว่างวันที่ 26-30 กรกฎาคม ระบายน้ำเฉลี่ย 28 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน สาเหตุที่ต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำ เนื่องจากมีปริมาณฝนตกเหนือเขื่อนจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องระบายน้ำ เพื่อให้มีพื้นที่รับน้ำเพียงพอ ซึ่งอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณยังรับน้ำได้อีก 2,225 ล้านลูกบาศก์เมตร
นายไววิทย์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางเขื่อนวชิราลงกรณรับทราบปัญหาผลกระทบของประชาชน และผู้ประกอบการทางด้านท้ายน้ำ และได้ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจาก ณ เวลานี้มีปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างมากกว่าวันละ 100 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างต่อเนื่อง ข้อมูล วันที่ 20 กรกฎาคม มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่าง 202 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายน้ำ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร, วันที่ 21 กรกฎาคม มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่าง 154 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายน้ำ 23 ล้านลูกบาศก์เมตร, วันที่ 22 กรกฎาคม มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่าง 114 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายน้ำ 23 ล้านลูกบาศก์เมตร, วันที่ 23 กรกฎาคม มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่าง 134 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายน้ำ 23 ล้านลูกบาศก์เมตร, วันที่ 24 กรกฎาคม มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่าง 183 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายน้ำ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร และ วันที่ 25 กรกฎาคม มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่าง 183 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายน้ำ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงต้องมีการบริหารจัดการน้ำในอ่างให้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถควบคุมได้
“แต่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดกับประชาชน และผู้ประกอบการทางด้านท้ายน้ำ จึงได้ประสานงานกับกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ชะลอแผนการระบายน้ำจากเดิมวันละ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน เหลือวันละ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ในช่วงวันที่ 24-25 กรกฎาคม และถ้าปริมาณน้ำฝนที่ไหลเข้าอ่างลดลง ก็จะทำการลดการระบายน้ำลงเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ กฟผ.เขื่อนวชิราลงกรณ มีการรายงานแผนการระบายน้ำ ให้หน่วยงานราชการใน จ.กาญจนบุรี และ จ.ราชบุรี ทราบเป็นประจำทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ หากมีข้อสงสัย หรือได้รับข่าวต่างๆ ที่ผิดปกติ โปรดสอบถามข้อเท็จจริงที่ กฟผ.เขื่อนวชิราลงกรณ โทร 0-2436-8739 หรือ 0-3459-9077 ต่อ 3110 , 3111 และติดตามเหตุการณ์ทางกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมงที่ http://www.vrk.egat.com หรือ Application EGAT Water” นายไววิทย์ กล่าว
นายไววิทย์กล่าวอีกว่า สำหรับด้านความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อนวชิราลงกรณ มีการออกแบบ และก่อสร้างตามมาตรฐานสากล โดยมีหน่วยงานด้านบำรุงรักษาเขื่อน ตรวจสอบเขื่อนเป็นประจำทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี และโดยคณะกรรมการตรวจประเมินความปลอดภัยเขื่อน ทุกๆ 2 ปี หรือเมื่อมีเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบกับตัวเขื่อน เช่น ฝนตกหนัก ระดับน้ำในเขื่อนมากกว่า 80% หรือมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเขื่อนด้วยเครื่องมือวัดที่ติดตั้งไว้ภายในตัวเขื่อน และบริเวณใกล้เคียงทันที เพื่อรายงาน และวิเคราะห์ผลทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น จึงขอให้ประชาชนมั่นใจในความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อน
