กรณี‘อังกาบหนู’

นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ แถลงข่าว เตือนการใช้สมุนไพร “อังกาบหนู” ที่มีผู้ใช้รักษามะเร็ง ว่ายังไม่มีข้อมูลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่ารักษาได้ มีเพียงกระแสข่าวว่าชาวบ้านที่ จ.สุโขทัย รับประทานแล้วหายจากมะเร็ง 5-13 คน ตอนนี้อยู่ระหว่างส่งเจ้าหน้าที่แพทย์แผนไทยลงไปแสวงหาข้อมูลข้อเท็จจริง เพราะบางครั้งพบว่าประชาชนเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นมะเร็งแต่ที่จริงไม่ได้เป็น ทั้งนี้ หากพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ก็จะรวบรวมข้อมูลกลับมาเพื่อเข้าสู่การพิจารณาว่าจะศึกษาวิจัยเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร ต้องเรียนว่า การศึกษาสมุนไพรรักษามะเร็งต้องใช้เวลานานไม่ต่ำกว่า 5 ปี เพราะต้องศึกษาทั้งในสัตว์ ในคน ต้องมีการเก็บข้อมูลจริงจากผู้ป่วย

ขณะที่ ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ข้อมูลความเป็นพิษของอังกาบหนู เคยศึกษาทั้งในสารสกัดน้ำมัน และในน้ำ และทดลองในหนู ไม่พบความผิดปกติ ดังนั้นขอให้สบายใจได้ หรืออีกกรณีมีการศึกษาพบว่ารากของต้นอังกาบหนูหากกินมากมีผลทำให้สเปิร์มลดลง อาจทำให้เป็นหมัน อย่างไรก็ตามการใช้สมุนไพรต่างๆ ต้องมีความรู้ และใช้ให้ถูก อย่างอังกาบหนูนั้นสามารถแก้อักเสบ รักษาแผลเปื่อยต่างๆ เช่น ถ้าต้มกินก็ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงริดสีดวง เป็นต้น หรือต้มดื่มเป็นชาแก้หวัด ไอ เจ็บคอโดยใช้อังกาบหนูประมาณ 30 กรัม ต้มหม้อเล็กดื่มวันละ 3 แก้ว แต่ไม่ควรดื่มติดต่อกันระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม ทาง รพ.อภัยภูเบศรจะศึกษาเพื่อนำมาทำเจลรักษาแผลที่เกิดจากโรคมือ เท้า ปาก

ความก้าวหน้าทางด้านการสื่อสาร ทำให้ปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลความเชื่อ โดยเฉพาะในลักษณะของสูตรยาไปได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ประกอบกับสมุนไพรไทยราคาไม่สูงหาได้ทั่วไป ทำให้ประชาชนไม่น้อยทดลองใช้ยากันเอง จึงเป็นภาระหนักของหน่วยงานราชการในด้านการแพทย์ ต้องคอยติดตามสอดส่อง เพื่อตรวจสอบข้อมูลและแก้ไขความเข้าใจผิด กรณีอังกาบหนูแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งน่าเป็นห่วง เพราะผู้ถ้าไม่มีสรรพคุณตามที่เล่าลือ อาจยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการมากขึ้น หรืออาจจะมากจนเกินเยียวได้ การเร่งออกมาให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image