ไม่ว่า นายชวน หลีกภัย ไม่ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างออกมา แสดงความเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจในภาคใต้อย่างเป็นพิเศษ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เพราะว่าฐานทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ คือภาคใต้ในเมื่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนภาคใต้ทรุดเสื่อมตกต่ำ พรรคประชาธิปัตย์ย่อมต้องกังวล
เสียงจาก นายชวน หลีกภัย เสียงจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงเท่ากับเป็นการสะท้อนในลักษณะตัวแทนของภาคใต้
เท่ากับยืนยันว่านโยบายเศรษฐกิจของคสช.ล้มเหลว
คำวิพากษ์วิจารณ์จาก นายชวน หลีกภัย และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงเป็นการรักษาอารมณ์ความรู้สึกของคนใต้
ขณะเดียวกัน ก็ห่วง”ฐาน”เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
ต้องยอมรับว่าการแยกตัวออกมาจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติ ไทยของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั้นสะเทือนต่อพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง
เพราะฐานเสียงของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็อยู่ภาคใต้
ขณะเดียวกัน ในห้วงแห่งการชุมนุมทางการเมืองของกปปส. หากไม่มีมวลชนจากภาคใต้หลั่งไหลเข้าร่วมก็ยากยิ่งที่จะเรียกได้ว่าเป็น “มวลมหาประชาชน”ได้
พรรครวมพลังประชาชาติไทยจึงสะเทือนพรรคประชาธิปัตย์
ยิ่งกว่านั้น การจัดตั้งพรรคประชาชาติของกลุ่มวาดะห์ที่นำโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ยังเน้นเจาะกลุ่มมุสลิมและ 3 จัง หวัดชายแดนภาคใต้
ทำให้ความมั่นใจต่อปลายสุดของด้ามขวานของพรรคประชา ธิปัตย์ลดน้อยลงไปอีก
ความเป็นจริงที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ พรรคประชาธิปัตย์ยากจะเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้
ฐานกทม.และภาคกลางก็ต้องชนกับพรรคอนาคตใหม่
พรรคประชาธิปัตย์จึงเหลือเพียงภาคใต้เท่านั้นที่น่าจะได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
จึงจำเป็นที่ นายชวน หลีกภัย และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องออกแรงอย่างเป็นพิเศษ ทั้งในระดับประเทศและในระดับพื้นที่
มิเช่นนั้นแล้ว พรรคประชาธิปัตย์อาจได้ต่ำกว่า 100