นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า จากกรณีที่ครม.เห็นชอบชดเชยภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) ให้ผู้มีรายได้น้อย 11.4 ล้านคนที่ได้ชำระเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินไม่เกิน 500 บาทต่อคนต่อเดือนนั้น มีการแบ่งเงิน 1% เพื่อสนับสนุนให้มีการออมเงิน ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) พบว่ามีผู้ผ่านคุณสมบัติประมาณ 6 ล้านคน คนที่ไม่ผ่านคุณสมบัติ เช่น อายุเกินกำหนดประมาณ 5 ล้านคน ซึ่งกระทรวงการคลังหารือกับสมาคมธนาคารไทย เพื่อให้มีการเปิดบัญชีออมเงิน เช่น 3 ปี 5 ปี โดยบัญชีดังกล่าวจะไม่สามารถถอนได้ก่อนกำหนด และธนาคารต้องให้ผลตอบแทนเงินในบัญชีดังกล่าวเท่ากับกอช. รวมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีต่อไป
นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ถือบัตรสวัสดิการเป็นสมาชิกกอช.ประมาณ 1.3 แสนคน กรมบัญชีกลางจะโอนเงิน 1% หรือประมาณ 71 บาทต่อเดือนเข้าบัญชีกอช.ให้ทันที ส่วนคนที่ยังไม่เป็นสมาชิก ถ้าไปสมัครเป็นสมาชิกแล้วจะโอนเงินให้ทันทีเช่นกัน สำหรับคนที่ยังไม่สมัคร หรือยังไม่มีคุณสมบัติกรมจะเก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่าจะมีการดำเนินการเรื่องการออมแล้วเสร็จ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจุดเริ่มต้นของการสนับสนุนให้ออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ
นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าวว่า หลังจากนี้กรมต้องไปเร่งติดตั้งเครื่องช่วยจัดการบริหารงานขาย (พีโอเอส) เพื่อแยกภาษีออกจากราคาสินค้า โดยเตรียมติดตั้งฟรีให้กับร้านค้าธงฟ้าขนาดเล็ก 3,000 แห่ง ที่จดทะเบียนแวตแล้ว ซึ่งครม.อนุมัติงบประมาณในการติดตั้ง 90 ล้านบาท หรือเครื่องละ 3 หมื่นบาทไว้แล้วเช่นกัน ส่วนร้านค้าอื่นหากสนใจเข้าร่วมโครงการสามารถติดตั้งเครื่องอีดีซี พีโอเอส รวมถึงขอจดทะเบียนแวตเพิ่มได้ รัฐบาลรับไม่จำกัด เพราะนอกจากการโครงการชดเชยเงินจากภาษีแวตแล้ว ในอนาคต น่าจะมีโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้มีรายได้น้อยออมาอีกหลายโครงการ
นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าวว่า สำหรับการชดเชยภาษีดังกล่าวไม่ได้กระทบภาษีที่จัดเก็บ เพราะเงินที่จะคืนให้มาจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมในวงเงิน 3,000-5,000 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 2562 กองทุนรับจัดสรรงบไว้ถึง 4 หมื่นล้านบา และสามารถจัดสรรเพิ่มเติมได้อีก โดยในปี 2561 ที่ผ่านมารับการจัดสรรงบ 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งการการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน โดยข้อมูลการใช้บัตรซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ 11 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2560 – สิงหาคม 2561) พบว่า มีการใช้สิทธิ จำนวน 128 ล้านครั้ง เป็นเงิน 38,185 ล้านบาท ซึ่งสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และแบ่งเบาค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อยได้ในระดับหนึ่ง
