‘มัลลิกา’เตือนแม่น้องเกด อย่าอคติใส่ร้ายทหาร ชี้ปกปิดความจริงชายชุดดำฆ่าทหาร-ปชช.

‘มัลลิกา’เตือนแม่น้องเกด-คณะ อย่าอคติใส่ร้ายทหาร ปกปิดความจริงชายชุดดำฆ่าทหารประชาชน ในชุมนุมปี53 ชี้ความจริง 12 ปีคือจนท.รัฐถูกใส่ร้ายหาว่าทำลายบ้านเมือง

นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ประธาน มูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ข้อมูลไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ พร้อมคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ คือ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ,พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ,ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล โดยคำพิพากษาลงมาเมื่อ 20 มีนาคม 2560 เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันประกอบได้ว่า ทหารไม่ได้ยิงประชาชนแต่ทหารและประชาชนถูกกระทำจนตาย เนื่องจากกลุ่มชายจำนวนหนึ่งในชุดดำแฝงอยู่กับประชาชนชุดแดงเมื่อปี 2553 ตั้งแต่เหตุการณ์สี่แยกคอกวัวจนถึงเหตุการณ์วัดปทุมวนารามล้วนมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลผู้ใช้อาวุธในการชุมนุมที่คนเรียกกันว่า “ชายชุดดำ”

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วตามทางไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่านปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคพลังประชาชนที่บริเวณรัฐสภาเพื่อต่อต้านนายอภิสิทธิ์ไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมานปช.บางส่วนได้เคลื่อนขบวนไปตามพื้นที่ในกรุงเทพปิดล้อมอาคารสถานที่ราชการปิดเส้นทางการจราจรบางแห่งนำเลือดไปทีที่ทำเนียบรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนั้นมีเหตุการณ์คนร้ายยิงจรวดอาร์พีจีและปาระเบิดใส่สถานที่ราชการหลายแห่ง

นางมัลลิกากล่าวว่า จากนั้นต้นเดือนเมษายน 2553 กลุ่มนปช. เริ่มขยายพื้นที่การชุมนุมเคลื่อนขบวนไปตั้งบริเวณสี่แยกราชประสงค์และกลุ่มนปช. ก็เคลื่อนขบวนไปปิดล้อมสถานีดาวเทียมไทยคมเพราะรัฐบาลตัดสัญญาณสถานีโทรทัศน์พีพีทีวีแล้วนปช.เดินทางไปปิดล้อมรัฐสภาบุกเข้าไปในอาคารมีการยึดอาวุธและทำร้ายสารวัตรทหารจนบาดเจ็บและต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารโดยการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจึงเคลื่อนกำลังขอพื้นที่คืนเกิดการปะทะกับกลุ่มนปช.ติดอาวุธแล้วก็ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์และสะพานชมัยฯและอีกหลายจุดจนถึงบริเวณสี่แยกคอกวัว จากนั้นในตอนค่ำมีชายชุดดำแฝงในกลุ่มชุดแดงเอาใช้อาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มนปช. และซุ่มอยู่ตามอาคารบริเวณดังกล่าวมีการยิงด้วยเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 จากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายมีเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากจากนั้นกลุ่มนปช. นี้ก็ย้ายไปราชประสงค์จนถึงตอนยุติการชุมนุมแต่กลับมีสถานการณ์จลาจลจะมีผู้ก่อเหตุกราดยิงในวัดปทุมวนาราม

Advertisement

ช่วงหนึ่งของการไต่สวนมูลฟ้องฉบับนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะเกิดเหตุปี 2553 การชุมนุมทำการปิดกั้นกีดขวางการจราจรบนถนนทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนการชุมนุมมีการใช้อาวุธและมีกองกำลังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้เข้ามากระชับพื้นที่หรือขอคืนพื้นที่ชุมนุมเป็นเหตุให้ควบคุมสถานการณ์ด้วยคำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายทั้งนี้เพื่อแก้ไขให้เกิดความสงบเรียบร้อย

ในตอนท้ายสรุปว่าจากหลักฐานพยานเข้าไต่สวนมานั้นมีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยคือนายธาริต เพ็งดิษฐ์และคณะสี่คนมิได้ปฎิบัติหน้าที่ตามกฏหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 200 ตามฟ้องได้

“ดิฉันสรุปเรื่องนี้ให้พวกคณะของแม่น้องเกดและประชาชนเสื้อแดงอื่นๆ เพื่อให้ได้สติว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่มนปช.ทักษิณอีก อย่าเป็นเครื่องมือลุกขึ้นมาปลุกปั่นอีกรอบ เพราะการจะเรียกร้องหาข้อเท็จจริงต้องปราศจากอคติและควรปรารถนาดีต่อลูกหลานของตัวเองจริงๆไม่ใช่ตั้งแง่แต่ว่าต้องใส่ร้ายทหาร หลักฐานพยานอีกประการหนึ่งคือวิถีกระสุนที่มีการพิสูจน์หลักฐานของที่นิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรมในปี 2553 นั้นก็ชัดเจนดีว่าเป็นวิถีกระสุนพี่ไม่ได้มาจากมุมสูงแต่เป็นมุมราบ แล้วใครที่อยู่ในมุมราบใช่ชายชุดดำหรือไม่แล้วชายชุดดำมาจากใครคงต้องถามนปช.และทักษิณ นี่ต่างหาก 12 ปีของการครบรอบผู้ที่กระทำกับประเทศชาติบ้านเมืองและเจตนาจะใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองโดยที่ไม่ชะโงกดูพฤติกรรมตัวเองว่าครอบครองอาวุธกันทำไมติดอาวุธเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายตามที่แกนนำนปช.ประกาศบนเวทีเพื่ออะไร”นางมัลลิกากล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image