นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า คาดว่าปีนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% และจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 2 ครั้ง ในเดือนมีนาคมและมิถุนายน ครั้งละ 0.25% ในช่วงครึ่งปีแรก 2562 ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยปรับขึ้นไปอยู่ที่ 2.00% โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นของไทยคาดว่ากนง.จะให้น้ำหนักกับการขยายตัวเศรษฐกิจที่สูงกว่า 4.0% แล้วอาจจะไม่จำเป็นต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินมากนัก ทั้งนี้ สาเหตุที่ไทยยังไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วในปีนี้เหมือนประเทศตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ นั้นเนื่องจากไทยมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศแข็งแกร่ง ทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง ยังมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในประเทศและค่าเงินบาทยังแข็งค่า ขณะที่ประเทศเกิดใหม่อื่นมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพราะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด มีเงินทุนไหลออกและค่าเงินอ่อนค่าค่อนข้างมากจึงต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินทุนไว้
นายเชาว์ กล่าวว่า ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) คาดว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงเดือนธันวาคมนี้อีก 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดขึ้นมาอยู่ที่ ช่วง 2.25-2.50% และปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรก 2562 เช่นกันจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเฟดอยู่ที่ 2.75-3.00% หรือมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐราว 1.00% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ผ่านมาที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐจะอยู่ห่างกันที่ 0.75% อย่างไรก็ดี มองว่าการไหลออกของเงินทุนไม่ได้เกิดจากผลจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น ยังต้องติดตามสถานการณ์ความผันผวนต่าง ๆ เช่น มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐและจีน หรือความผันผวนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ปัจจุบันยังเห็นเงินทุนไหลเข้ามาในไทยและค่าบาทยังแข็งค่าอยู่ โดยปัจจุบันอยู่ที่ 32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งระยะสั้นอาจจะเห็นความผันผวนในกรอบ 32.20-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามสิ้นปีคาดค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าอยู่ที่ 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐที่ชัดเจนและเฟดยังมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่อง
