“พ.ร.บ.มั่นคงไซเบอร์” อันตรายรอบด้าน!! ผู้พิพากษาเตือนละเมิดประชาชน นักลงทุนแขยง ควรเบรกก่อนไม่มีใครคบค้า(คลิป)

“ศรีอัมพร” ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์เตือน ร่างกม.มั่นคงไซเบอร์ ละเมิดสิทธิประชาชน ตรวจค้นยึดได้อิสระไม่ต้องมีหมายศาล แถมกระทบลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่น กลายเป็นปกครองแบบรัฐตำรวจ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 19 ตุลาคม ที่ศาลอุทธรณ์กลาง ถ.รัชดาภิเษก นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ให้สัมภาษณ์ความเห็นต่อร่างพระราชบัญญํติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.. ว่า ในต่างประเทศตื่นตัวที่จะป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ จึงทำกฎหมายเพื่อความมั่นคงทางไซเบอร์ขึ้น หลักการเดิมถ้าบุคคลใดหรือองค์กรใดกระทำผิด รัฐมีหน้าที่เข้าตรวจสอบหาเส้นทาง แต่วิธีการยังมีหลักการที่จะคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วยการตรวจสอบถ่วงดุล ถ้าจะขอเข้าค้นต้องผ่านการกลั่นกรองของศาล เหมือนกับการจับกุมตรวจค้นต้องขอหมายศาล เพื่อกลั่นกรองว่าเจ้าหน้าที่มีเหตุสมควรที่ต้องกระทำหรือไม่ ส่วนใหญ่ต้องอ้างว่ามีความผิดเกิดขึ้น เมื่อผิดก็สามารถตรวจค้นมีคดีขึ้นมา

“แต่หลักการตามร่างกฎหมายใหม่คือไม่ต้องมีคดี คณะกรรมการเพื่อความมั่นคงทางไซเบอร์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะมีอำนาจเยอะ โดยจะมีการตรวจค้น จับกุม ยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ หน่วยบันทึกความจำ บังคับบอกรหัสเพื่อเปิดข้อมูลได้หมด โดยไม่ต้องผ่านการกลั่นกรองของศาล ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลโดยฝ่ายตุลาการปัญหาคืออำนาจอย่างนี้ ต่างประเทศซึ่งมีการกระทำผิดรุนแรงทางไซเบอร์ เขายังไม่กล้าออกกฎหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น จับกุม ยึดโดยไม่มีหมายจับหมายค้น คดียังไม่เกิดแค่สงสัยก็สามารถเข้าไปได้หมดทั้งหน่วยงานเอกชน บริษัท ประชาชนทั่วไป เข้าไปยึดเพื่อตรวจสอบแจ้งข้อหาทีหลังโดยไม่ต้องมีหมาย ยึดแล้วเอาข้อมูลไป ระบบนี้ไม่ใช่ระบบสากล ปกติแล้วนิติรัฐจะต้องมีระบบตรวจสอบถ่วงดุล เพราะตัวบุคคลถ้ามีอำนาจมากไปจะทุจริตใช้อำนาจในทางมิชอบได้ ถ้ามองก้าวหน้าไปในทางการเมืองอาจใช้กฎหมายเข้ามาล่วงละเมิดแย่งชิงความได้เปรียบ ซึ่งถือว่าอันตรายมากต่อระบอบประชาธิปไตย”นายศรีอัมพร กล่าว

ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ กล่าวว่า อีกอย่างหนึ่งที่เป็นห่วงมากก็คือ ถ้าเรามีกฎหมายประเภทนี้ มันจะมีลักษณะให้อำนาจเบ็ดเสร็จของพนักงานเจ้าหน้าที่ไซเบอร์ ซิเคียวริตี้ (Cyber Security) ซึ่งมีอำนาจกว้างขวางกว่าตำรวจซึ่งจะต้องขอออกหมายค้นหมายจับ แล้วไม่มีการกลั่นกรองหรือตรวจสอบถ่วงดุลจากฝ่ายตุลาการ จะเกิดปัญหาว่าบุคคลที่เข้ามาทำในตำแหน่งพนักงานรักษาความสงบในไซเบอร์ หรือเจ้าหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ก็มีโอกาสที่จะกระทำผิด หรือใช้อำนาจที่ล่วงเกินสิทธิเสรีภาพ
“นอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยตรงแล้ว ยังสามารถที่จะหาผลประโยชน์จากข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าข้อมูลทางราชการหน่วยใดก็ตาม ธนาคารชาติ ธนาคารทุกแห่ง บริษัทใหญ่ๆ บริษัทข้ามชาติซึ่งเข้ามาลงทุน เขาก็กังวลในเรื่องนี้อยู่ ถ้ากฎหมายนี้ผ่านออกไปโดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลโดยฝ่ายตุลาการ ปัญหาของชาติจะเกิดขึ้นโดยการลงทุนจากต่างประเทศจะชะงักงันทันที เพราะเขาจะไม่เชื่อในระบบงานยุติธรรมขั้นต้นของไทย ความลับทางการค้ามีมูลค่าเป็นหลายแสนล้าน เขาจะมาเสี่ยงกับประเทศไทยหรือ” นายศรีอัมพร กล่าว

นายศรีอัมพร กล่าวอีกว่า ในขณะที่รัฐมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นจากต่างประเทศเข้ามา กฎหมายตัวนี้สร้างอำนาจให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารมากเหลือเกิน ครอบคลุมความเป็นส่วนตัวของประชาชนทุกคน จะกลายเป็นการปกครองแบบรัฐตำรวจ ในขณะที่เราเป็นนิติรัฐ เรื่องนี้อันตราย การยึดอายัดได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องมีคดี คล้ายกับรัสเซียสมัยก่อนล่มสลายที่มีโปลิสบูโร ลักษณะองค์กรคล้ายกัน ตนในฐานะที่เป็นนักกฎหมายที่เคยศึกษา ไม่มีประเทศไหนออกกฎหมายให้คนกลุ่มเดียวมีอำนาจล้นฟ้าไม่มีการตรวจสอบ

Advertisement

ผู้สื่อข่าวถามถึงสหรัฐอเมริกามีซีไอเอหรือเอฟบีไอใช้การตรวจสอบอย่างไร นายศรีอัมพร กล่าวว่า การใช้อำนาจลับผิดกฎหมาย แต่เขาไม่บอก เท่าที่ทราบก็มีการใช้อำนาจลับอยู่ เช่นการดักฟัง ซึ่งตามกฎหมายการดักฟังต้องขออำนาจจากอธิบดีศาลอาญาคนเดียว แต่ร่างกฎหมายไซเบอร์หนักเลย ข้อมูลความเป็นส่วนตัวที่สหรัฐอเมริกาถือมากใครจะล่วงละเมิดไม่ได้ แต่องค์กรลับของเขาทำแบบเงียบๆ ที่สหรัฐอเมริกาผ่อนคลายความเข้มงวดนี้หลังเหตุการณ์ 9/11 แต่กฎหมายในอเมริกาหรือประเทศไหนไม่ปรากฏว่าจะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารเข้าไปจัดการกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น โดยไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล เมื่อตราเป็นกฎหมายแล้วเข้าไปล่วงละเมิดในสิทธิส่วนตัว เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะอ้างว่าทำตามกฎหมาย ประชาชนเอกชน ก็ไม่มีโอกาสได้รับการเยียวยาโดยการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้เลย

ถามว่าจะคล้ายกับเกาหลีเหนือหรือไม่ นายศรีอัมพร กล่าวว่า คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น เพราะเกาหลีเหนือสามารถสอดแนมประชาชนทุกคนได้ แต่ดูภาพใหญ่คล้ายกับว่ารัฐสามารถที่จะสอดแนมเข้าไปในประชาชนทุกคนได้ ลักษณะกฎหมายอย่างนี้ตนเป็นห่วงสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ถูกละเมิดโดยชอบด้วยกฎหมาย และห่วงเรื่องการค้าซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ ประเทศจะเจริญเติบโตได้ ต่างประเทศต้องเข้ามาลงทุน ถ้าหยุดเมื่อไหร่เราตาย และเป็นหน้าตาของประเทศไทย เพราะต่างประเทศจะดูว่าประเทศไหนมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาก จากรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ค่อนข้างมองประเทศไทยในแง่ลบอยู่แล้ว ถ้ากฎหมายนี้ออกมาจะเป็นการซ้ำเติม กลายเป็นว่าประเทศไทยไม่น่าลงทุน

ถามถึงขั้นตอนของร่างกฎหมายในขณะนี้ นายศรีอัมพร กล่าวว่า ขณะนี้กฎหมายอยู่ในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วก็ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็เป็นห่วงในเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลของเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์ด้วย ตนก็เห็นว่าน่าดีใจที่นายกฯ ให้ความสำคัญต่อประเด็นนี้ สำหรับหน่วยงานที่ริเริ่มเสนอกฎหมายฉบับนี้คือกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งก่อนที่หน่วยงานรัฐจะออกกฎหมายใด ก็อยากให้ดูกฎหมายของอารยประเทศด้วย เพราะไม่เช่นนั้นประเทศไทยก็อาจจะถอยหลังเข้าคลองได้

“ถ้ารัฐบาลของเราเป็นรัฐบาลที่ดีไม่มีปัญหา เขาก็อาจจะไม่ยอมให้ใช้อำนาจรัฐ แต่ถ้าเราได้ผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่มีปัญหาขึ้นมา ประชาชนจะเดือดร้อนมาก ในฐานะผมเป็นประชาชน ผมก็เดือดร้อนด้วยว่า อยู่ดีๆ เขามายึดโทรศัพท์มือถือของท่านไป แล้วก็ไปหาว่าท่านกระทำผิดอย่างไร” นายศรีอัมพร กล่าว

Advertisement

เมื่อถามว่าควรจะยกเลิกหรือแก้ไขร่าง พ.ร.บ.นี้อย่างไร นายศรีอัมพร กล่าวว่า ไม่ควรเร่งรีบออกฎหมายฉบับนี้ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการแก้ไขความมั่นคงของประเทศ แต่เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ ระดับนานาชาติ ที่ประเทศต่างๆ เขาจะมาคบกับประเทศเราหรือเปล่า ถ้าเรามีกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ละเมิดสิทธิประโยชน์ทางการค้าอย่างรุนแรง สหรัฐอเมริกาเขาเพ่งเล็งในเรื่องนี้มาก อย่างเช่นที่สหรัฐอเมริกาตั้งกำแพงภาษีสูงกับสาธารณรัฐประชาชนจีน สาเหตุหนึ่งเพราะเขาอ้างว่ามีการล่วงรู้หรือเอาข้อมูลในลักษณะนี้ ขณะที่เราก็กำลังที่จะเปิดโอกาสให้มีการโจมตีข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่รัฐได้

เมื่อถามว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่เจ้าหน้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอหรือ นายศรีอัมพร กล่าวว่า ข้อเสนอของกระทรวงดิจิตอลฯ คือไม่เพียงพอ ไม่สามารถปราบปรามการกระทำผิดได้ทัน แต่ปัญหาการปราบปรามไม่ทัน ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาออกกฎหมายใหม่ แต่เป็นเรื่องความสามารถของเจ้าหน้าที่กระทรวงดิจิตอลฯ ไม่เพียงพอ ควรเลิกจ้างไปเลย เพราะคนที่ไม่มีฝีมือไม่ควรมาอยู่ บริษัทต่างๆ เขามีมืออาชีพทั้งนั้นในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไซเบอร์ไทย มีมืออาชีพคนไทยซึ่งเก่งเยอะแยะ แต่ไม่มีโอกาสเข้ารับราชการ จะต้องใช้ระบบกึ่งราชการจ้างบุคคลที่เก่งเข้ามา

“การสืบแทรกกิ้งทางไซเบอร์ว่าใครทำผิดอะไร มันมีร่องรอยอยู่แล้ว และร่องรอยนั้นเป็นร่องรอยที่ประจักษ์ด้วย แม้ว่ามันจะมีการส่งไปยังต่างประเทศหลายแห่ง แล้วถึงกลับเข้ามาไทยก็ตามได้ แต่เรายิ่งไปโอ๋ หรือไปทะนุถนอมพนักงานเจ้าหน้าที่ที่อ่อนแอ อย่างนี้ผมว่าไม่ไหวหรอกนะ ไม่ใช่มืออาชีพ มันไม่ควรกระทำ” นายศรีอัมพร กล่าวและว่า ควรไปแก้ปัญหาเรื่องบุคลากรหรือเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายมากกว่า ไม่ใช่ปัญหาของประชาชนหรือประเทศชาติเลย อันไหนที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนก็ต้องมีกลไก อย่างน้อยที่สุดต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุล

นายศรีอัมพร กล่าวด้วยว่า ถ้าหากพูดถึงหน่วยงานของรัฐก็พยายามสร้างงานขึ้นมา แล้วสร้างอัตรากำลังขึ้นมา เพื่อมีงบประมาณและภารกิจ ซึ่งการเพิ่มหน่วยธุรการขึ้นมาก็ไม่ได้ทำให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลของการทำงานด้านเทคโนโลยีระดับสูงได้ มันควรต้องจ้างมืออาชีพ แล้วค่าตอบแทนก็ไม่ควรใช้ตามระบบราชการ ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่มีฝีมือ หรือเราจ้างเอ้าท์ซอร์จ (Outsource) ที่เก่งเข้ามาได้ไม่มีปัญหา ต่างประเทศทำได้ ของเราส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ ไม่มีแนวนโยบายตั้งมืออาชีพ จริงๆ แล้วผู้ปฏิบัติมีความสำคัญ

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image