“นิด้า”ชี้เศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้ายรับอานิสงส์เลือกตั้ง เงินสะพัด 5 หมื่นล้าน ช่วยดันจีดีพีโตตามคาด 4.5%

รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน สำหรับนักบริหาร (MPPM Executive program) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของภาคส่งออกและการท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดี รวมถึงความคึกคักในช่วงใกล้ถึงการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ช่วยสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นิด้าจึงคาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ว่าจีดีพี(ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ) มีแนวโน้มขยายตัวได้ 4.5%

รศ.ดร.มนตรี กล่าวว่า ปัจจัยการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 จะได้รับแรงหนุนที่สำคัญจากปัจจัยการขยายตัวของรายได้จากต่างประเทศ ที่มีน้ำหนักต่อจีดีพีสูงถึง 78 % โดยการส่งออกขยายตัวได้ดีในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา และคาดว่าจะรักษาระดับการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4 ตลาดส่งออกที่สำคัญ คือกลุ่มประเทศอาเซียนมีสัดส่วนการส่งออกในระดับ 26 % รองลงมาคือ ประเทศจีน 12 % และสหรัฐอเมริกา 12 % คาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้เติบโตจากปีก่อนในระดับ 8%

รศ.ดร.มนตรี กล่าวถึงการท่องเที่ยวไทยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติว่า ยังเติบโตได้ดี แม้ว่าในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจากประเทศจีนชะลอตัวลงจากเหตุการณ์เรือล่มในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ประกอบกับมีภาพเหตุการณ์รปภ.ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ทำร้ายนักท่องเที่ยวจีนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนก็ตาม “นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยถือว่าเป็นเส้นเลือดหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเข้าแก้ไขปัญหาที่ทันเวลาของภาครัฐจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนให้เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยอีกครั้ง และจะสนับสนุนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวไทยในปีนี้ได้ตามเป้าหมายที่ 38 ล้านคน ส่วนมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในประเทศไทยคาดว่าจะขยายตัวจากปีก่อนที่ระดับ 10 %

ส่วนปัจจัยในประเทศ เห็นว่าแนวโน้มไตรมาสที่ 4 น่าจะมีทิศทางการขยายตัวที่ดี ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือการเข้าใกล้ช่วงการเลือกตั้งจะช่วยให้กำลังซื้อภายในประเทศฟื้นตัว ซึ่งจากสถิติในอดีต พบว่า การเลือกตั้งทั่วไปแต่ละครั้งจะมีเงินสะพัดภายในระบบเศรษฐกิจประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ในช่วงก่อนถึงวันเลือกตั้งประมาณ 3 เดือน จึงคาดการณ์เม็ดเงินดังกล่าว จะเริ่มเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจในเดือนธันวาคมนี้ ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และจะสร้างการหมุนเวียนเงินในระบบได้ในระดับ 5 หมื่นล้านบาท

Advertisement

“ส่วนเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทย คือการลงทุนของภาครัฐ ที่มีการอนุมัติงบประมาณปี 2562 ที่ 3 ล้านล้านบาท หากภาครัฐบาลกระตุ้นการเบิกจ่ายโดยเฉพาะงบลงทุนให้เป็นตามแผนจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างมีศักยภาพ” รศ. ดร.มนตรีกล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยเฉพาะปัจจัยจากต่างประเทศ ทั้งภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าตัวเลขของการตั้งกำแพงภาษีอาจจะไม่มากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล ส่วนปัจจัยที่ 2 คือ การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่เริ่มมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ส่งผลกระทบให้เกิดความผันผวน ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดการเงินทั่วโลก

ส่วนปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศ คือ ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง 78 % ต่อจีดีพี จะเป็นปัจจัยฉุดการอุปโภคบริโภคภายในประเทศให้ฟื้นตัวได้ล่าช้า และในขณะเดียวกันการใช้กำลังการผลิตของภาคเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้โอกาสการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตนั้นอาจไม่เกิดขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image