‘บิ๊กโจ๊ก’ นำทีมยึดเสื้อผ้า-กระเป๋าแบรนด์เนม มูลค่ากว่า 100 ล้าน

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อมด้วย พล.ต.ท.พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี รักษาการแทน ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.วันชัย เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8, พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และนายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการ กองคดี 1 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตลอดจนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง, เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนตัวแทนลิขสิทธิ์ ลงพื้นที่ซอยบางลา ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต รวมจำนวน 28 จุด ตามแผนปฏิบัติการกวาดล้างการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อตรวจสอบและจับกุมการลักลอบจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า

ผลปฏิบัติการตรวจค้นจำนวน 28 จุด ได้ของกลางกว่า 50,000 ชิ้น อาทิ แว่นตาแบรนด์เนม เช่น Rayban, Oakley เป็นต้น กระเป๋าแบรนด์เนม เช่น หลุยส์ วิตตอง, พราด้า, กุชชี่ เป็นต้น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รองเท้า เข็มขัด นาฬิกาหลากหลายยี่ห้อ เช่น Nike, Adidas, Puma, Levi’s, Fila, Onitsuka เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย และจับกุมผู้ต้องหาต่างด้าวจำนวนหนึ่ง มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 100 ล้านบาท

ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และแน่นอนว่าเมื่อมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก กลุ่มผู้ค้าต่างๆ ได้อาศัยช่องว่างในการนำตราหรือโลโก้สินค้า โดยเฉพาะแบรนด์เนมต่างๆ นำมาจำหน่ายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและลอกเลียนแบบ ทำให้นักท่องเที่ยวหรือผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ รัฐบาลปัจจุบันโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการกำชับในการปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ การคุ้มครองสิทธิบัตรทางออนไลน์ โดยมีการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เข้าใจว่าผู้บริโภคนิยมในส่วนของเครื่องหมายการค้า แต่เรื่องคุณภาพสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องให้ผู้บริโภคเข้าถึงการใช้บริการที่มีคุณภาพ ต้องบอกว่า ณ ปัจจุบัน รัฐบาลไทยและประเทศไทยได้รับการยกเลิกการเป็นประเทศที่ถูกเฝ้ามองเป็นพิเศษจากสหรัฐอเมริกา และสถานการณ์การละเมิดลิขสิทธิ์ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์และการคุ้มครองลิทธิบัตรต่างๆ ยังต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไป

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวด้วยว่า การดำเนินการในครั้งนี้ถือว่ามีปริมาณมาก แต่ส่วนหนึ่งแล้วต้องเข้าใจว่าพ่อค้าแม่ค้าต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่าในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการจับกุมไปแล้ว ได้แก่ เกาะสมุย พัทยา นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร ซึ่งทุกจุดที่เดินทางไปจับกุมและบังคับใช้กฎหมายโดยเด็ดขาด พร้อมกันนี้ยังได้มีการสร้างความเข้าใจกับพ่อค้าแม่ค้าให้ขายสินค้าประเภทอื่นที่มีคุณภาพหรือสินค้าพื้นเมืองแทน ส่วนของบุคคลต่างด้าวได้มีการกำหนดวันสิ้นสุดไปแล้วว่า โอเวอร์สเตย์ต้องเป็นศูนย์ การแจ้งบังคับกฎหมายตามมาตรา 38 และต้องเข้าระบบทั้งหมด ซึ่งการปราบปรามในครั้งนี้คนไทยจะต้องมีที่ยืน

Advertisement

สำหรับปฏิบัติการในครั้งนี้ ศปอส.ตร.ได้ระดมกวาดล้างแหล่งจาหน่ายสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการขยายผลไปยังแหล่งผลิต ผู้ที่นำเข้า จะดำเนินการอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ฝากไปยังผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ กรุงเทพฯ ต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ๆ หรือการประกาศขายทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์, เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรม หากยังดำเนินการอยู่ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดีขยายผลถึงนายทุน ตลอดจนใช้มาตรการยึดทรัพย์ จากความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (13) และมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นความผิดมูลฐานตาม กฎหมายฟอกเงิน เพื่อให้ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยหมดไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image