ระยะหลังข่าวคราวเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมีมากขึ้น
ปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าทำให้รัฐบาลหันมาใส่ใจเรื่องปริมาณแมวหมา
ปัญหาขยะมูลฝอยมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนให้หน่วยงานระดับกระทรวงไปรับผิดชอบ
ปัญหาการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสกำลังบานปลายไปเป็นความเหลื่อมล้ำ
เหลื่อมล้ำระหว่าง รวย-จน เหลื่อมล้ำระหว่าง มีอำนาจ-ไร้อำนาจ
ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องหาวิธีคลี่คลาย
แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนจะคลี่คลายได้ยากลำบาก บ้างก็ขาดกำลังคน บ้างก็ขาดงบประมาณ
รวมไปถึงการขาดการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง
แต่เชื่อไหมว่า ปัญหาดังกล่าวท้องถิ่นบางแห่งเขา “เอาอยู่”
ยกตัวอย่างปัญหาขยะที่องค์การบริหารส่วนตำบลร่องเคาะ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง
ที่นั่นใช้กลไกเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาขยะล้น
จากปี 2542 ที่ปริมาณขยะมีมากถึงเดือนละ 144 ตัน ปัจจุบันปริมาณขยะลดลงเหลือเดือนละ 48 ตัน
หายไปไหนเกือบ 100 ตัน
คำตอบอยู่ที่วิธีการจัดการที่เริ่มต้นคัดแยกขยะจากครัวเรือน
แบ่งเป็นขยะอินทรีย์ ขยะอันตราย ขยะรีไซเคิล และขยะทั่วไป
ขยะอินทรีย์นำไปทำน้ำหมัก ทำปุ๋ยธรรมชาติ แล้วเอาปุ๋ยธรรมชาติไปบำรุงแปลงผัก และเอาผักไปกิน
ขยะอันตรายส่ง อบต.เพื่อมอบให้ อบจ.ลำปาง ไปทำลายตามหลักกำจัดวัตถุอันตราย
ขยะรีไซเคิล ครัวเรือนส่งขายให้ผู้ประกอบธุรกิจรับซื้อขยะรีไซเคิล
ขยะทั่วไป ส่วนหนึ่งนำไปให้โรงเรียนผู้สูงอายุใช้ผลิตสินค้าเอาไปขายสร้างรายได้ ส่วนหนึ่งนำไปอัดแล้วขายให้เอสซีจี
อีกส่วนหนึ่งทิ้งใส่ถังขยะ แล้ว อบต.นำไปฝังกลบ
เมื่อขยะทำให้ครัวเรือนมีรายได้ ชาวบ้านก็ทิ้งขว้างน้อยลง
ขยะในพื้นที่จึงลดลงเรื่อยๆ
ความสำเร็จของ อบต.ร่องเคาะ ได้เผยแพร่ไปยังองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้เคียง
ขณะเดียวกัน อบต.ร่องเคาะก็ไปรับเอา “นวัตกรรม” จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้เคียงมาเสริมงานในพื้นที่
กลายเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกัน
ตัวอย่างที่ยกมานี่มีแค่ อบต.เดียว
เรื่องลดปริมาณขยะนี้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งทำสำเร็จ
แล้วถ้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งสามารถทำได้ล่ะ
ขยะก็อาจจะไม่ได้กลายเป็นเรื่องปวดหัวอีกต่อไป
ส่วนปัญหาช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส มีตัวอย่างการจัดการที่เทศบาลตำบลป่าไผ่ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
ที่นั่นมีปัญหาเงินน้อย แต่มีผู้ด้อยโอกาสที่รอการช่วยเหลือมาก
ชาวบ้านจึงรวมตัวกันตั้งเป็นคณะกรรมการร่วม
คณะกรรมการชุดนี้แสวงหาแหล่งทุนมาได้ 10 แห่ง แต่ละแหล่งก็มาจากรัฐบาลนั่นแหละ
เพียงแต่การคัดเลือกผู้ด้อยโอกาสเขาดึงชาวบ้านเข้ามา
กำนันผู้ใหญ่บ้านซาวด์เสียงชาวบ้านว่าใครคือคนด้อยโอกาส
คณะกรรมการร่วมคัดเลือกผู้ที่สมควรได้ทุน
เมื่อได้รับเงินเป็นทุน ชาวบ้านก็ไปลงแรงช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ด้อยโอกาส
วิธีการเช่นนี้ช่วยทำให้ได้ตัวคนที่ “ด้อยโอกาส” จริงๆ และยังสามารถมีข้อมูลผู้ด้อยโอกาสครบถ้วนได้อีกด้วย
หากรัฐบาลไว้ใจท้องถิ่น เปิดโอกาสให้ทำงานที่รัฐบาลลงมือทำยาก
อาทิ ตีทะเบียนหมาแมว ลดปริมาณขยะ ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ทำทะเบียนคนจน ฯลฯ
บางทีปัญหาที่รัฐบาลทำไม่ได้ ท้องถิ่นเขาทำได้ เพราะเขาอยู่กับข้อมูล
ขณะที่รัฐบาลมีทุน มีความรู้ มีผู้เชี่ยวชาญ
ถ้าประสานงานกันเหมือนดั่งที่รัฐบาลชูนโยบาย “ประชารัฐ” ได้จริง
หลายเรื่องหลายราวน่าจะประสบผลสำเร็จ
ถ้ายังไม่มั่นใจว่าชาวบ้านทำได้ไหม ลองไปขอข้อมูลจากสถาบันพระปกเกล้า
ลองไปสอบถามคณะกรรมการที่ลงไปประเมินท้องถิ่นเรื่อยๆ
ระหว่างวันที่ 8-10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้จัดงานที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ
วันที่ 10 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวัดสุดท้าย มีพิธีมอบโล่รางวัลพระปกเกล้า และเกียรติบัตร
รางวัลนี้มอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมดีเด่น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเหล่านี้แหละที่เผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ที่ว่ามาข้างต้น และหาวิธีแก้ไขได้สำเร็จ
หากเป็นไปได้ ลองให้ใครก็ได้ลงพื้นที่ไปดูความสำเร็จของท้องถิ่นแต่ละแห่ง
ลงไปดู ลงไปถามชาวบ้าน รวมทั้งผู้บริหารองค์กรท้องถิ่นเหล่านั้น
ถามว่าเขามีปัญหาอะไร เขาแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร
รับรองว่าจะได้ทั้งคำตอบและทางออกของหลายๆ ปัญหาที่เกี่ยวกับชุมชนและชาวบ้าน
เป็นคำตอบและทางออกที่หลายคนมองว่าง่าย แต่ว่ากว่าจะสำเร็จได้นั้นยาก
เพราะเคล็ดลับของความสำเร็จอยู่ที่ชาวบ้าน
อยู่ที่การมีส่วนร่วมของชาวบ้านในการแก้ไขปัญหา
การมีส่วนร่วมดังกล่าวยังสะท้อนภาพความยั่งยืนในการแก้ปัญหาได้อีกด้วย
หากที่ใดชาวบ้านมีส่วนร่วมน้อย การแก้ไขปัญหานั้นยั่งยืนน้อย
ถ้าที่ใดชาวบ้านมีส่วนร่วมมาก ปัญหานั้นก็จะถูกคลี่คลายได้ยั่งยืนนาน