ซิวยกแก๊งกัมพูชาล้วงกระเป๋าฉกมือถือหญิงท้อง เลือกทำเลบีทีเอส เจาะจงเหยื่อต่างชาติ

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่สน.ลุมพินี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. พล.ต.ท.ธีรพล คุปตานนท์ ผบช.ทท. และ พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รอง ผบช.ทท. แถลงจับกุมนายโยบ ลี อายุ 39 ปี นายคง สินาด อายุ 39 ปี น.ส.รี คาม อายุ 31 ปี น.ส.พาด เซรอ อายุ 28 ปี น.ส.มูน มอม อายุ 25 ปี และน.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือไอโฟน รุ่น 6 เอสพลัส จำนวน 1 เครื่อง

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมากลุ่มผู้ต้องหาแบ่งหน้าที่กันก่อเหตุโดยมีนายโยบ ลี เป็นหัวหน้าแก๊งข้ามแดนมาจากประเทศกัมพูชาแล้วนัดหมายเดินทางมาก่อเหตุที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอโศก โดยหาเหยื่อที่ไม่ได้ระมัดระวังทรัพย์สิน กระทั่งเวลาประมาณ 17.00 น. กลุ่มผู้ต้องหาพบผู้เสียหายเป็นผู้หญิงมาคนเดียวเห็นสบโอกาสจึงเข้าก่อเหตุล้วงเอาโทรศัพท์มือถือจากระเป๋าของผู้เสียหายแล้วหลบหนีไป หลังผู้เสียหายรู้ตัวจึงเข้าแจ้งความ ต่อมาตรวจสอบภาพวงจรปิด และออกติดตามจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาขณะกำลังจะมาก่อเหตุซ้ำอีกครั้ง ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอโศก สอบถามผู้ต้องหาให้การว่า มักจะเลือกก่อเหตุล้วงกระเป๋าตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ห้างสรรพสินค้า และตามสถานีรถไฟฟ้า โดยเลือกเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไม่ทันระวังตัว และชาวต่างชาติ เนื่องจากไม่ค่อยแจ้งความดำเนินคดี

ผบช.สตม.กล่าวถึงกรณีที่คนร้ายชาวต่างชาติ ก่อเหตุในประเทศไทย ที่ผ่านมามีการจับกุมแก๊งล้วงกระเป๋าชาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ มองโกเลีย เวียดนาม การก่อเหตุดังกล่าวส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ กระทบถึงการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย คนร้ายมักเลือกก่อเหตุกับชาวต่างชาติ เนื่องจากชาวต่างชาติมักจะไม่สามารถสื่อสารได้ง่าย หรือผู้ที่ไม่ได้ระมัดระวังทรัพย์สิน เบี้ยประกันภัยทรัพย์สิน ที่นักท่องเที่ยวต้องจ่ายสูงขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และบางครั้งคนร้ายเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล และหมายเลขพาสปอร์ต แล้วเดินทางเข้ามาก่อเหตุ ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ หากมีการนำระบบไบโอเมทริกซ์มาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันคนร้ายมากขึ้น

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image