มายาคติว่าด้วยท่องเที่ยวชุมชน (2) : โดย มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด

การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนของรัฐตั้งอยู่บนมายาคติหรือสมมติฐานที่ว่าการท่องเที่ยวชุมชนสร้างรายได้เพิ่มและเป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้สู่ชุมชน จึงมีคำถามว่า ชุมชนท่องเที่ยวได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนที่คุ้มค่าจริงหรือ และชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการจัดการการท่องเที่ยวชุมชนนั้นอาศัยปัจจัยใดบ้าง

การเปรียบเทียบศักยภาพของชุมชนของมูลนิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พบว่า ชุมชนที่เป็นกรณีศึกษาแม้จะเป็นกลุ่มชุมชนที่ได้รับการคัดเลือกว่าเป็นชุมชนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่ก็ยังปรากฏว่ามีความแตกต่างกันสูงในเรื่องศักยภาพและสมรรถนะในการรองรับ โดยที่ชุมชนโฮมสเตย์ที่ศึกษามีความสามารถรองรับได้สูงสุดตั้งแต่ 50 คนต่อวัน ไปจนถึงกว่า 534 คนต่อวัน ส่วนกิจกรรมท่องเที่ยววันเดียว (Day trip) รองรับได้สูงสุดตั้งแต่ 800-12,000 คนต่อวัน ชุมชนท่องเที่ยวกรณีศึกษาที่ไม่ได้วิวัฒนาการที่เกิดขึ้นจากภายในชุมชน แต่เป็นการจัดตั้งและสนับสนุนของหน่วยงานภายนอก มักเป็นชุมชนที่มีศักยภาพต่ำกว่าชุมชนที่วิวัฒนาการมาเป็นชุมชนท่องเที่ยวด้วยตัวเอง

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชุมชนมีศักยภาพสูงจะเกี่ยวกับปัจจัยเรื่องทำเลที่ตั้งและสิ่งดึงดูดใจใกล้เคียง เพราะทำเลที่ตั้งเป็นที่มาของความได้เปรียบในการเดินทางและการกระจายและการส่งต่อนักท่องเที่ยวไปยังสิ่งดึงดูดใจ
ต่างๆ หากชุมชนอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวหรือใกล้เมือง ก็จะมีโอกาสสูงก็จะมีก็จะมีศักยภาพสูง แต่ถ้าอยู่ใกล้เมืองเกินไปก็อาจจะเผชิญปัญหาการแข่งขันจากบริการที่พักเชิงพาณิชย์ประเภทอื่นๆ

ความสำเร็จของชุมชนท่องเที่ยวอาจจะวัดได้โดยวิธีง่ายที่สุด ก็คือ ขนาดของตลาด โดยวัดจากจำนวนของผู้มาเยี่ยมเยือน โดยชุมชนโฮมสเตย์มีตั้งแต่ 250 คนต่อปี ไปจนถึง 50,000 คนต่อปี ก่อให้เกิดรายรับในภาพรวมทั้งชุมชนสำหรับชุมชนโฮมสเตย์ตั้งแต่ 0.08-13.58 ล้านบาทต่อปี สำหรับกิจกรรม Day trip มีจำนวน 6,000 คน ไปถึง 260,000 คนต่อปี มีรายได้ตั้งแต่ 3.00-88.29 ล้านบาทต่อปี ส่วนเชียงคาน ซึ่งได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดเล็กไปแล้ว มีจำนวนผู้มาเยือนสูงถึง 557,708 คนต่อปี และมีรายได้สูงถึง 1,050.72 ล้านบาทต่อปี (ศิวาพร ฟองทอง, 2561) ซึ่งก็ได้สะท้อนถึงความแตกต่าง ของสถานภาพของชุมชนท่องเที่ยวดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

ADVERTISMENT

การวิเคราะห์ผลตอบแทนของชุมชนท่องเที่ยว พบว่ามีความหลากหลายมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
เช่น จำนวนปีที่ได้มีการวิวัฒนาการด้านการท่องเที่ยวชุมชน ทำเลที่ตั้ง สิ่งดึงดูดใจในพื้นที่ ชื่อเสียงที่ปรากฏในสื่อ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อขนาดตลาดของชุมชนและมีโอกาสสร้างรายได้ที่แตกต่างกัน และกระบวนการสร้างรายได้ที่มั่นคงจะใช้เวลา

เมื่อพิจารณาในระดับครัวเรือน โดยเฉพาะผลตอบแทนของการลงทุนสำหรับโฮมสเตย์ พบว่าผลการดำเนินงานของครัวเรือนที่ทำโฮมสเตย์ส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิที่เป็นบวก โดยเฉพาะบ้านที่มีการลงทุนปรับปรุงน้อย แต่

ADVERTISMENT

สำหรับกรณีที่มีการลงทุนปรับปรุงมากและลงทุนสร้างใหม่ พบว่ายังมีบางกรณีที่ขาดทุน อย่างไรก็ดี เจ้าของ
โฮมสเตย์มักไม่คำนึงถึงการต้นทุนลงทุนด้านสิ่งก่อสร้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของกำไรขาดทุน เพราะถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อสร้างบ้านเรือนรอลูกรอหลาน หรือเป็นการลงทุนในการเก็บทรัพย์สินของตัวเอง (Store of Value) ไว้ในรูปที่พักอาศัย เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ร่วมกันระหว่าง
เจ้าบ้านกับลูกค้า ดังนั้น เจ้าของที่พักโฮมสเตย์ส่วนใหญ่จึงค่อนข้างที่จะพอใจกับผลกำไรสุทธิที่ได้ แม้ว่าจะมีขนาดค่อนข้างต่ำก็ตาม การศึกษานี้พบว่ากำไรสุทธิในกรณีโฮมสเตย์ที่มีการลงทุนปรับปรุงเล็กน้อย มีค่าอยู่ระหว่าง 5.05-50.81 บาทต่อรายได้ทุกๆ 100 บาท ในขณะที่กรณีปรับปรุงมากและสร้างใหม่ มีการขาดทุนสุทธิสูงสุดถึง 237.00 บาทต่อรายได้ทุกๆ 100 บาท และมีกำไรสุทธิสูงสุด 73.22 บาทต่อรายได้ทุกๆ 100 บาท การศึกษานี้พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อขนาดผลตอบแทนโฮมสเตย์ คือ ขนาดตลาดและความถี่ที่นักท่องเที่ยวเข้าพัก ซึ่งจะมีผลต่อจำนวนลูกค้าที่จะได้รับในแต่ละปี รวมถึงลักษณะของกลุ่มลูกค้า กล่าวคือ หากเน้นตลาดลูกค้านักท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพบริการ แนวโน้มการลงทุนมักจะสูงตามไปด้วย (เช่น ซื้อเตียง ที่นอน ผ้าห่มสีขาว ในห้องติดแอร์) ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มดูงานที่ลูกค้าอาจจะไม่ได้คาดหวังในคุณภาพบริการสูงมาก ระดับการลงทุนก็อาจจะน้อยลง (เช่น ใช้ฟูกนอนเรียงกัน ไม่ใช้เตียง ใช้พัดลมตั้งโต๊ะ)

สำหรับผลวิเคราะห์ผลตอบแทนรายกิจกรรม พบว่ากิจกรรมมัคคุเทศก์และกิจกรรมฐานเรียนรู้จะให้ผลตอบแทนสุทธิค่อนข้างสูง เพราะมีต้นทุนการลงทุนน้อยและส่วนใหญ่เป็นการต่อยอดทุนเดิมที่เคยมีอยู่แล้ว ส่วนกิจกรรมที่ให้ผลตอบแทนสุทธิค่อนข้างที่จะดีมากและสอดคล้องกันเกือบทุกชุมชนก็คือ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยว

บทบาทของรัฐในอดีตที่สำคัญ คือ การพัฒนาผู้นำ ซึ่งส่วนราชการต่างๆ เช่น กรมพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้มีส่วนช่วยสร้างผู้นำ ทำให้สามารถสร้างการท่องเที่ยวชุมชนขึ้นมาได้ ต่อมาในปัจจุบันที่การท่องเที่ยวชุมชนกำลังได้รับความนิยมและเป็นที่สนใจของทุกภาคส่วน จึงมีการอัดฉีดงบประมาณลงไปจำนวนมาก ทำให้เกิดความสับสนในทิศทางการพัฒนา โดยเฉพาะในชุมชนที่ยังไม่มีความพร้อม ทำให้เกิดความขัดแย้งที่มาจากการจัดสรรผลประโยชน์ที่เข้ามาไม่โปร่งใสและลงตัว

สำหรับ อปท. ส่วนใหญ่ยังไม่มีบทบาทมากนัก ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่เป็นผลประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่กลุ่มการท่องเที่ยวสามารถใช้ประโยชน์ได้ด้วย รวมถึงมีการสนับสนุนการจัดกิจกรรมหรืองานประจำปีที่เป็นเอกลักษณ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชน อย่างไรก็ตาม เมื่อการท่องเที่ยวมีการขยายตัวมากขึ้น ผลกระทบที่เด่นชัด คือ ปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยว และ อปท. มักจะประสบปัญหาการจัดการขยะ จนไม่สามารถจัดการเรื่องอื่นๆ ได้ เช่น ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว บางพื้นที่จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่าประชากรของพื้นที่ ในขณะที่งบประมาณการจัดการขยะนั้นจัดสรรตามจำนวนหัวประชากรในท้องถิ่นเท่านั้น จึงทำให้ชุมชนมีข้อจำกัดในการจัดการขยะ เกิดขยะตกค้าง อันจะนำไปสู่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้างต่อไป

ผลกระทบเหล่านี้ตกกับสมาชิกชุมชนที่มิได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมท่องเที่ยวด้วย!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image