นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวกรณีชนะการประมูลได้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G1/61 และ G2/61 (เอราวัณและบงกช) ว่า รู้สึกภูมิใจ โดยจะเริ่มดำเนินการเข้าพื้นที่ทันทีหลังลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) เดือนกุมภาพันธ์ 2562 เพื่อเตรียมการการผลิต และจะเริ่มผลิตจริงหลัง 2 แหล่งหมดอายุ คือ ปี 2565 เป็นต้นไป โดยจะช่วง 5 แรกของแหล่งเอราวัณจะลงทุน 600-650 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ขณะที่แหล่งบงกชจะลงทุน 400-450 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี โดยราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ 116 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งราคาที่ต่ำดังกล่าวจนสามารถชนะการประมูลเพราะปัจจุบันการลงทุนนี้มีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญแล้ว อาทิ แท่นผลิต แท่นที่อยู่ จึงไม่ต้องลงทุนใหม่ ส่วนแท่นผลิตในแหล่งเอราวัณที่ปัจจุบันเป็นของเชฟรอนนั้นจะมีการหารือ 3 ส่วน ประกอบ ปตท.สผ. เชฟรอน และกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เพื่อตกลงในรายละเอียด
“อนาคตหากเชฟรอนต้องการร่วมลงทุน ปตท.สผ.พร้อมรับ เพราะนโยบายของบริษัทหลังจากนี้คือการแสวงหาพันธมิตรลงทุนเพื่อขยายธุรกิจต่อไป สำหรับประเด็นระบบพีเอสซีที่ต้องมีหน่วยงานรัฐถือหุ้น 25% นั้น ปตท.สผ.ก็ถือเป็นหน่วยงานรัฐ ดังนั้นต้องอยู่ที่กระทรวงพลังงานจะพิจารณาต่อไป” นายพงศธรกล่าว
นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหำร บริษัท เชฟรอน ไทยแลนด์ โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า
บริษัทรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมากที่ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการของแหล่งเอราวัณและบงกชในการประมูลครั้งนี้ ทั้งนี้ เชฟรอนได้ยื่นข้อเสนอที่มีแผนการดำเนินงานและการลงทุนอย่างเหมาะสมในทางปฏิบัติสามารถนำทรัพยากรปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ได้มากที่สุด ด้วยประสบการณ์และองค์ความรู้ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยมาอย่างยาวนาน
“บริษัทเคารพการตัดสินใจของภาครัฐ และจะคงดำเนินการผลิตส่วนที่เหลือต่อไป” นายไพโรจน์กล่าว
เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว
