พณ.ชี้ตลาดจีน 5 เมือง โอกาสเพิ่มส่งออกข้าวไทย แถมต่อยอดผลไม้-สินค้าแปรรูป

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวไปจีนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ 5 เมือง ประกอบด้วย เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว หนิงโป และอู่ฮั่น ซึ่งมีมูลค่านำเข้าข้าวรวมคิดเป็น 80% ของการนำเข้าข้าวทั้งหมดของจีน

นางสาวพิมพ์ชนก  กล่าวว่า ผลการศึกษา พบว่า การส่งออกข้าวของไทยไปยังจีนมีมูลค่า 544.52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จีนเป็นตลาดส่งออกข้าวลำดับที่ 2 ของไทยช่วงปี 2558-60 รองจากเบนิน ขณะที่การส่งออกไปยัง 5 เมืองสำคัญของจีน ได้แก่ เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว หนิงโป และอู่ฮั่น มีมูลค่ารวมถึง 448.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 82.4% ของมูลค่าการส่งออกข้าวจากไทยไปจีนทั้งหมด ด้านการนำเข้าข้าวของ 5 เมืองดังกล่าว พบว่าโตขึ้นถึง 7.5 เท่า ภายใน 10 ปี แต่ไทยมีสัดส่วนแบ่งตลาดลดน้อยลง จากปี 2551 ไทยมีส่วนแบ่งตลาดกว่า  90%  แต่ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 30% ขณะที่เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจนมาอยู่ที่ประมาณ 53 %ในปัจจุบัน ไทยสามารถส่งออกข้าวไปยัง 5 เมืองเพิ่มขึ้น มีมูลค่าสูงถึง 223.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากปัจจุบันที่ส่งออกต่ำกว่าศักยภาพ หรือยังสามารถส่งเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพการแข่งขัน แบ่งเป็นการส่งออกไปเมืองเซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว หนิงโป และอู่ฮั่น เป็นมูลค่า 110.99, 47.47, 44.08, 12.12 และ 8.48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ

นางสาวพิมพ์ชนก  กล่าวว่า ทั้ง 5 เมือง มีรายได้ต่อหัวอยู่ในเกณฑ์ high income country และมีประชากรรวมกันประมาณ 63 ล้านคน แยกเป็น เซินเจิ้น ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 110.99 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากปัจจุบัน 241.33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 44.32% ของมูลค่าที่ไทยส่งออกข้าวไปจีน และมีส่วนแบ่งตลาด  33.26%  ของมูลค่าการนำเข้าข้าวของเซินเจิ้น โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 2 รองจากเวียดนาม

ส่วน เซี่ยงไฮ้ ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 47.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันส่งออกข้าว 114.96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 21.11% ของมูลค่าที่ไทยส่งออกข้าวไปจีน และมีส่วนแบ่งตลาด  29.63% โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 2 รองจากเวียดนาม สำหรับ กว่างโจว ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 44.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันไทยส่งออก  48.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 8.96%  ของมูลค่าที่ไทยส่งออกข้าวไปจีน และมีส่วนแบ่งตลาด 26.03% 

Advertisement

สำหรับหนิงโป ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 12.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันไทยส่งออกข้าวไปหนิงโป 16.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 3.02% ของมูลค่าที่ไทยส่งออกข้าวไปจีน และมีส่วนแบ่งตลาด 15.34% โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 2 รองจากเวียดนาม

ในส่วนอู่ฮั่น ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 8.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันไทยส่งออกข้าวไป อู่ฮั่น 27.31 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 5.02 %ของมูลค่าที่ไทยส่งออกข้าวไปจีน และมีส่วนแบ่งตลาด 24.47% โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 2 รองจากเวียดนาม

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า ภาพรวมแล้วควรวางยุทธศาสตร์การรุกตลาดข้าวจีนไว้ 3 ด้านหลัก คือ 1.การส่งเสริมการค้าออฟไลน์ (Off-Line) ส่งเสริมสินค้าเพื่อสุขภาพและราคาสูงอย่างสินค้าข้าวออแกนิกส์ เนื่องจากทั้ง 5 เมืองมีรายได้ต่อหัวสูง ร่วมมือกับผู้นำเข้าท้องถิ่นในการขยายตลาด และการแสดงสินค้าตามจุดยุทธศาสตร์ รวมทั้งเน้นส่งเสริมการทำการค้าแบบรัฐต่อรัฐ (G2G)

Advertisement

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า 2.การส่งเสริมการค้าออนไลน์ (On-Line) เน้นส่งเสริมการค้าที่เข้าถึงผู้บริโภครายย่อยของจีนด้วยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าแบบสหกรณ์การเกษตรของไทยกับอีคอมเมิร์ซของจีน ในลักษณะเดียวกันกับการขายทุเรียน นอกจากนี้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งต้นน้ำ เน้นจัดทำบรรจุภัณฑ์เป็นภาษาจีนเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด กลางน้ำ ส่งเสริมการเรียนรู้การทำตลาดสินค้าออนไลน์ และปลายน้ำ ทำการตลาดในประเทศจีนตามเมืองเป้าหมาย สร้างการรับรู้ต่อข้าวไทยซึ่งมีความหลากหลาย และชูจุดเด่นด้านคุณภาพที่คัดสรรแล้วของข้าวไทย เป็นต้น

และ 3. ส่งเสริมการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับแนวคิด“แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2559-2563) ของจีน” ทั้งเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร ข้อมูลที่ครบถ้วน อาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รูปทรงทันสมัย รวมทั้งยังมีโอกาสค้าขายสินค้าเด็กทารกและเด็กแรกเกิดมากขึ้น หลังจากจีนได้ยกเลิกนโยบายลูกคนเดียว คาดว่าจะทำให้จำนวนเด็กแรกเกิดเพิ่มขึ้นด้วย

 นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า กระแสคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่เติบโตขึ้นอย่างมากในประเทศจีน เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการค้าขาย เมื่อรวมกับสินค้าข้าวที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับทั่วโลกของไทย จึงเป็นโอกาสทองสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่จะสร้างรายได้จากการค้าขายข้าวด้วยตนเองได้มากขึ้น โดยเฉพาะการรวมกลุ่มกันเพื่อส่งออก ซึ่งขอยกตัวอย่างความสำเร็จในการส่งออกทุเรียน ที่ล่าสุด สหกรณ์ชาวสวนผลไม้ 12 แห่ง ใน 3 จังหวัด ระยอง จันทบุรี และตราด ได้มีการเจรจาการค้ากับบริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน เพื่อส่งออกทุเรียนในช่วงมีนาคมนี้ จากก่อนหน้านี้มีผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวจากข้าวกล้องออร์แกนิคผสมผัก เป็นทั้งการเพิ่มคุณค่าอาหาร และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image