พาณิชย์ ประเมิน 3 ด้านของเบร็กซิท อาจกระทบส่งออกและลงทุนไทย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองของสหราชอาณาจักรอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป (อียู) เนื่องจากจะมีผลต่อการค้ากับไทยได้ต่างกันในแต่ละกรณี  โดยหลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ชนะการลงมติไม่ไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 มกราคม และมีแผนจะเสนอแผนเบร็กซิทฉบับใหม่ต่อรัฐสภาสหราชอาณาจักรในวันจันทร์ 21 มกราคม ขณะนี้ ต้องรอดูว่าสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับอียูจะเป็นไปในทิศทางใด โดยสหราชอาณาจักร อาจตัดสินใจออกจากอียูโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ หรือมีทางเลือกอื่นๆ เช่น การจัดการลงประชามติในเรื่องเบร็กซิท ครั้งที่ 2 การยื่นขอเจรจาแก้ไขความตกลงเบร็กซิทกับอียู หรือการขอขยายเวลาการออกจากอียู จากกำหนดเดิมในวันที่ 29 มีนาคม2562 ออกไป ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดต่อไป

นางอรมนกล่าวว่า  หากสถานการณ์ดังกล่าวมีความชัดเจน และทั้งสองฝ่ายสามารถให้สัตยาบันต่อความตกลงเบร็กซิท ตามกรอบความสัมพันธ์ในอนาคตที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 สหราชอาณาจักรจะมีเวลาปรับตัวและมีช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน 21 เดือน ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ก่อนออกจากอียูอย่างเต็มรูปแบบ และช่วยลดความเสี่ยงของภาคธุรกิจตลอดห่วงโซ่การผลิตได้ในระดับหนึ่ง

นางอรมนกล่าวว่า ผลกระทบจากเบร็กซิทต่อไทย อาจประเมินได้ 3 ด้าน คือ  1.ด้านภาพรวมการค้า เบร็กซิทน่าจะมีผลกระทบต่อภาพรวมการค้าไทยไม่มาก เนื่องจากช่วงแรกกฎระเบียบของสหราชอาณาจักรต่อประเทศที่สามน่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเท่าไรนัก ภาคการส่งออกอาจได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากความต้องการซื้อที่ลดลงของสหราชอาณาจักร เนื่องจากการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ 

ด้านที่ 2 ด้านสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่อียูมีการกำหนดโควตาภาษีกับไทยในปัจจุบัน เช่น สัตว์ปีกแช่เย็นและแช่แข็ง มันสำปะหลัง และข้าวนั้น เมื่อสหราชอาณาจักรออกจากอียูจะต้องมีการแบ่งโควต้าภายใต้องค์การการค้าโลกระหว่างอียูกับสหราชอาณาจักร ไทยจึงต้องเร่งเจรจากับทั้งสองฝ่ายเพื่อไม่ให้สูญเสียส่วนแบ่งตลาดที่เคยได้ในตลาดทั้งสอง อย่างไรก็ตาม การที่สหราชอาณาจักรจะออกจากอียูทำให้ต้องเร่งหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ จึงเพิ่มโอกาสของไทยในการเจรจาความตกลงทางการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสหราชอาณาจักร หากมีการเจรจาในเวลาที่เหมาะสม 

Advertisement

ด้านที่ 3 ด้านการลงทุน เป็นโอกาสที่ดีที่จะชักชวนนักลงทุนสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และในสาขาที่สหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบินและโลจิสติกส์ ยานยนต์สมัยใหม่ ดิจิทัล เป็นต้น เพื่อส่งเสริมและยกระดับมาตรฐานภาคอุตสาหกรรมของไทย และการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาค

ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรเป็นคู่ค้าลำดับที่ 18 ของไทย และอันดับที่ 2 จากอียู ปี 2560 มีมูลค่าการค้าประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.53  ของการค้าทั้งหมดของไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image