บทความ ศาลอาญาระหว่างประเทศ โดย : กลิ่นบงกช

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่าศาลอาญาระหว่างประเทศได้กล่าวโทษทหารพม่าว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนส่วนน้อย โรฮีนจา คะฉิ่น และฉาน และจากนั้นไม่นาน พระประเทศพม่าก็ออกมาเดินขบวนทำนองสนับสนุนทหารพม่า สำหรับผู้เขียนดีใจที่ศาลอาญาระหว่างประเทศได้เอาคดีของรัฐฉานไปพิจารณาด้วย เพราะความจริงการล้างเผ่าพันธุ์ชาวฉานมีมาตลอดนับจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวฉานเหนือ

สำหรับชาวฉานใต้ที่ติดกับประเทศไทย พม่ายังยั้งมือบ้างเพราะกลัวคนไทยจะรู้ แต่สำหรับชาวฉานเหนือเอาเต็มที่ ดูเหมือนมีเจตนาจะขับไล่คนไทยใหญ่ให้ออกจากแผ่นดินนั้น ในทำนองว่าแผ่นดินเป็นของพม่า คนที่ไม่ใช่พม่าต้องออกไป

ความเรื่องนี้ชาวโลกและสื่อมิได้ใส่ใจเลย แต่พอพม่าเอาจริงกับโรฮีนจา และชาวโรฮีนจาพากันอพยพออกจากพม่า และทั้งที่ชาวโรฮีนจามิใช่เจ้าของถิ่นในเมืองยะไข่ เป็นเพียงชาวเบงกาลี เจตนาอพยพเข้ามาเพิ่มประชากรทางศาสนาให้เพิ่มขึ้นเท่านั้น ชาวโลกและสื่อไทย สื่อโลก พากันประโคมข่าวช่วยเต็มที่ แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะใครๆ ก็รักชีวิต ใครๆ ทุกคนก็ไม่ชอบความทุกข์ทรมาน ดังนั้น จึงขอบอกก่อนว่า การที่ศาลอาญาระหว่างประเทศกล่าวโทษทหารพม่าก็พอจะรับได้ แต่มิใช่จะปล่อยให้คนกลุ่มนี้ไม่มีความผิดอยู่เลย คงต้องมีอยู่บ้าง

ขั้นแรกลองถามกันดูว่า ทำไมพระพม่าจึงออกมาแสดงความชิงชังต่อคนเหล่านี้ และดูเหมือนไม่ใช่เฉพาะพระเท่านั้นที่ชิงชังชนกลุ่มน้อยโรฮีนจา อยากจะกล่าวว่าชนกลุ่มน้อยแทบทุกกลุ่มในพม่า ชิงชังชาวโรฮีนจาทั้งหมด มันเป็นเพราะเหตุใด ไม่มีใครฉงนใจบ้างหรือ เพื่อให้เข้าใจขอยกตัวอย่างเรื่องพระพม่าก่อน และการยกเรื่องพระพม่า ก็ต้องยกเรื่องพระเมืองไทย ที่จำพรรษาอยู่ที่สามจังหวัดภาคใต้ให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อน

Advertisement

พระท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยเมื่อสังคมยังไม่เปิดกว้างเท่าทุกวันนี้ คือถนนหนทางยังไม่มี การสื่อสารยังล้าหลังอยู่ สมัยนั้น พระที่สามจังหวัดภาคใต้ เมื่อเดินทางไปตามบ้านนอก ถ้าเผอิญไปพบคนที่นับถือศาสนานี้เข้า พวกเขาจะถ่มน้ำลายให้ (ถ่มน้ำลายลงข้างทาง) พระท่านก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ มีความโกรธและจดจำไปตลอด พระพม่าก็คงเจอสภาพดังกล่าว เพราะในแคว้นยะไข่ เป็นเมืองพุทธมาก่อน แถมมีพระพุทธรูปสำคัญที่พม่านำไปไว้ที่เมืองมัณฑะเลย์ นี่ก็เป็นชนวนให้ชาวพุทธในยะไข่ผูกใจเจ็บอยู่ทุกวันนี้

ถามว่าคนสามจังหวัดภาคใต้ เขาอาจหาญทำได้ขนาดนี้เพราะอะไร ตอบว่า เพราะเขาถือว่าสามเมืองนี้เป็นของเขา และที่สำคัญที่สุด คือเขามีคนที่นับถือศาสนาเดียวกันมากกว่า

ประเด็นนี้ สำหรับในยะไข่ ทำให้พม่าไม่พอใจอย่างมาก เพราะพม่าถือว่าพม่าเป็นเมืองของคนพุทธ ต้องมีคนนับถือพุทธเท่านั้น ถ้ามีศาสนาอื่นปะปนด้วยจะเกิดการทะเลาะวิวาทกัน และการที่มีคนในศาสนาอื่นอพยพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สักวันหนึ่งจะเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ แถมเมื่อเข้ามาแล้วยังมาตั้งขบวนการต่อสู้เพื่อชี้ให้ชาวโลกคิดว่า ฉันต่อสู้เพื่อดินแดนของฉัน แต่มันไม่ใช่! นั่นคือจุดยืนที่พม่าปฏิเสธตลอดมา

Advertisement

ได้ยกตัวอย่างให้เห็นพระไทย พระพม่าที่มีความชิงชังต่อคนกลุ่มนี้แล้ว ต่อไปขอยกเรื่องพระแขกพระจีนที่ไม่ค่อยจะปลื้มต่อคนในศาสนานี้บ้าง เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่จักรวรรดิออตโตมันรุ่งเรืองอยู่ พระราชาแห่งออตโตมันหวังจะให้ศาสนานี้มีคนนับถือทั่วโลก จึงเพ่งไปยังอินเดียและจีน เพราะมีคนอยู่มาก จึงส่งทหารเข้าไปในอินเดีย

เมื่อไปถึงอินเดีย พบพระพุทธศาสนารุ่งเรืองอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา พวกเขาก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงเงื้อดาบฆ่าพระ ในขณะที่พระบางรูปกำลังฉันอาหารอยู่ ถามว่าทำไมเขาจึงฆ่าพระ ธรรมดาการรบเขาต้องฆ่าคนที่เป็นทหาร ทำไมจึงไปฆ่าพระ ตอบว่า ทัพของเขาที่มาคราวนี้ต้องการมาเผยแผ่ศาสนา เมื่อเห็นพระในพุทธศาสนา นั่นคือศัตรูสำคัญของศาสนาของเขา จึงต้องฆ่า ก็เหมือนในสามจังหวัดทางใต้ของไทย

เขาเห็นชาวบ้านไทยเขาก็เป็นมิตรด้วย ไม่ถ่มน้ำลายใส่ แต่พอเห็นพระเท่านั้น เป็นมิตรไม่ได้ เพราะเป็นศัตรูของศาสนา จึงถ่มน้ำลายให้ ก็เท่านั้น

พระในอินเดียท่านไม่มีโอกาสจะแสดงความชิงชัง เพราะท่านถูกเชือดลูกกระเดือกเสียก่อน การเข้าไปในอินเดีย ฆ่าพระและเผาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา เกิดขึ้นประมาณ พ.ศ.1700 จากนั้นพระในพุทธศาสนาก็หมดไปจากอินเดีย แต่ยังมีประชาชนเคารพนับถือพุทธศาสนาอยู่ ในอินเดียประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู เมื่อมีศาสนานี้เข้าไป ก็มีแขกอินเดียหันไปนับถือศาสนานี้เหมือนกัน ประชาชนที่นับถือศาสนาต่างกันก็กระทบกระทั่งไม่สบตากัน บางครั้งทำกับตัวแทนของศาสนา เช่น ศาสนาฮินดู ก็มีโคเป็นสัญลักษณ์ ส่วนศาสนาที่เข้ามาใหม่ เขาไม่มีสัญลักษณ์ แต่เขาเกลียดหมู วันดีคืนดี คนที่นับถือศาสนาใหม่ก็จับโคของพระเจ้ามาฆ่ากินเนื้อเยาะเย้ย คนฮินดูก็เหลืออด จึงแก้แค้นบ้าง

ในขณะที่คนศาสนาใหม่นี้กำลังสวดอ้อนวอนพระเจ้าของเขาอยู่ในมัสยิด ชาวฮินดูก็พากันต้อนหมูฝูงใหญ่เข้าไปในมัสยิด เป็นที่ขบขันของคนที่พบเห็น แต่คนที่สวดมนต์อยู่ในมัสยิดไม่ขำด้วย ต่างก็กระเจิงกันออกมาอย่างตระหนก เพราะอารามที่เกลียดกลัวหมู พอเห็นชาวฮินดูหนีไปก็แน่ใจว่า งานนี้ต้องเป็นพวกฮินดูแน่ พวกเขาจึงตามไปฆ่าอย่างไม่ปรานีนี่คือเวรของกันและกัน

สำหรับการไปเผยแผ่ศาสนาที่ประเทศจีนก็คงทำแบบเดียวกัน คือ เมื่อเข้าไปใกล้ชายแดนจีน ขั้นแรกก็คงทำลายศาลเจ้าก่อน เหมือนซุนยัตเซ็น จากนั้นก็เข้าทำลายวัด เมื่อมีพุทธบริษัทหรือลูกศิษย์ในศาลเจ้าขวางก็ฆ่าทิ้ง เพราะสาวกของศาสนานี้ประกาศว่า ดาบคือกุญแจสวรรค์ แต่พอคนกลุ่มนี้เข้าถึงมณฑลซินเกียง สมภารวัดเส้าหลินเห็นท่าจะไม่ได้การละ! ถ้าปล่อยไปอย่างนี้ พระพุทธศาสนาเมืองจีนหมดแน่ ท่านจึงประกาศอาสาสมัครฝึกอาวุธ ประกาศเรี่ยไรอาหาร ฝูงมหาชนชาวจีนหลั่งไหลมาฝึกอาวุธ เสบียงอาหารมาเป็นกองพะเนิน จากนั้นจอมยุทธ์แห่งสำนักวัดเส้าหลินก็ถือดาบไปปะทะกับคนกลุ่มนี้ที่มณฑลซินเกียง

สาวกของศาสนานี้จึงหยุดกึกอยู่ตรงนั้น คนกลุ่มนั้นก็คือพวกอุยกูร์ที่สร้างปัญหาให้ประเทศจีนอยู่ทุกวันนี้ และก็คือเมื่อไม่นานมานี้ประเทศไทยจับได้ ทางจีนขอให้ส่งตัวให้จีน แต่ตุรกีขอให้ส่งไปตุรกี แต่ทางการไทยกลับส่งไปให้จีน การที่ตุรกีบอกทางการไทยให้ส่งพวกอุยกูร์ให้ตุรกีนั้น ทำให้เราทราบว่าพวกเติร์กที่ไปฆ่าพระที่มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดียกับพวกเติร์กที่เข้าจีนคราวนั้น เป็นพวกเดียวกัน

หลักฐานที่ยืนยันได้ถึงการที่พระจีนท่านต้องออกมาปกป้องพุทธศาสนาด้วยตัวของท่านเอง ก็คือวัดจีนมีการฝึกอาวุธ ตามที่เราเคยเห็นในหนังจีน และมิใช่สำนักเดียว แต่มีการช่วยกันหลายสำนัก มีสำนักง้อไบ๊ เป็นต้น เพราะฉะนั้น เมื่อเราดูหนังจีน เห็นพระหลวงจีนฝึกเพลงดาบ ก็ขอให้ทำใจ เหมือนเราเห็นพระพม่าท่านออกมาเดินขบวนสนับสนุนทหารพม่าที่ขับไล่พวกโรฮีนจาฉะนั้น

ดีแต่ที่พระไทยท่านไม่ทำอะไรมาก

ผู้เขียนรู้การสังหารพระ รู้การทำลายพระพุทธศาสนาในอินเดียของพวกเติร์ก รู้การบุกยึดพื้นที่ของจีน ของพวกอุยกูร์ จึงมองภาพของพวกโรฮีนจาว่า คงเป็นการเข้าไปยึดพื้นที่ของชาวพุทธ ทำนองเดียวกันกับพวกเติร์กเข้าไปฆ่าพระและทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา นั่นคือหวังทำลายศาสนาพุทธ และหวังยึดพื้นที่ที่เป็นของชาวพุทธให้กลับเป็นพื้นที่ของอิสลาม โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชนที่นับถือศาสนาเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเงินทุนของชาวอาหรับ

การกระทำดังกล่าวย่อมไม่เป็นที่พอใจของเจ้าของพื้นที่ คือรัฐบาลจีนและพม่า ข้างฝ่ายจีนทำค่อนข้างนุ่มนวล กล่าวคือ ให้คนจีนเป็นจำนวนมากเข้าไปอยู่ในท้องที่
ที่อุยกูร์อยู่นั้น อุยกูร์ก็หาเรื่องขัดขวาง รัฐบาลจีนก็ปราบ คงปราบหนัก อุยกูร์จึงอพยพออกประปราย

สำหรับพม่าทำหนักกว่าจีน เพราะพม่านั้นเกลียดแขกอยู่แล้วสองเรื่อง การเกลียดแขกข้อแรกของพม่าคือ สมัยก่อนเศรษฐกิจของพม่าอยู่ในมือของแขก วันไหนเป็นวันสำคัญของแขก แขกจะหยุดค้าขาย พม่าก็หาของกินไม่ได้ เหมือนเมืองไทยเมื่อก่อนนั่นแล เมื่อถึงตรุษจีน ร้านจีนหยุดค้าขาย คนไทยหาก๋วยเตี๋ยวกินไม่ได้ เมื่อเนวินได้เป็นใหญ่ใหม่ๆ ได้ไล่แขกออกจากพม่า และให้ไปแต่ตัวห้ามขนทรัพย์สมบัติออกไป คราวนั้นฮือฮากันทั่วโลก แขกโรฮีนจาคือชาวเบงกาลี ตะวันออกที่พม่าก็เกลียดเป็นเรื่องที่สอง เพราะมองออกว่าพวกนี้เข้ามาเพื่อเพิ่มจำนวนพลเมืองให้มากกว่าเจ้าของถิ่นเดิม คือชาวพุทธในเมืองยะไข่ หรือเมืองอารกัน จึงพยายามขวาง แต่คนกลุ่มนี้ก็สร้างกองกำลังขึ้นสู้ แต่ก็คงสู้ไม่ได้ แล้วคงมาฮึดขึ้นอีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 โดยยกหน่วยกำลังก่อการร้ายไปฆ่าตำรวจที่โรงพัก คราวนี้พม่าจึงจัดหนัก จึงอพยพออกไปเป็นแสน UNHCR ต้องทำงานหนัก ดูสภาพแล้วน่าสงสาร

นั่นคือทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศต้องกล่าวหาทหารพม่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

การกระทำของศาลอาญาระหว่างประเทศพอรับได้ เพราะได้นำการกระทำของพม่าที่ทำต่อคะฉินและรัฐฉานเข้าไปด้วย เพราะคนสองกลุ่มคือ คะฉิ่นและชาวฉาน ถูกกดขี่ ถูกข่มเหงน้ำใจมาเกือบ 70 ปี ในดินแดนของเขาเอง ศาลอาญาระหว่างประเทศเคยเหลียวแลหรือไม่ UNHCR เคยเหลียวดูเขาหรือไม่ แต่กับกลุ่มโรฮีนจาอพยพเข้ามาในดินแดนที่พม่าถือว่าเป็นดินแดนของเขา

อีกทั้งพม่ารู้ว่าชาวเบงกาลีที่อพยพเข้ามานี้ เข้ามาเพื่อเพิ่มคนนับถือศาสนานี้ให้มากขึ้น เพื่อตัวจะได้มีสิทธิในแผ่นดินนี้ อีกทั้งพม่าเขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าคนที่อนุญาตให้คนกลุ่มนี้อพยพเข้ามาก็คืออังกฤษ เพราะเหตุที่ตอนสงครามญี่ปุ่น ชาวพุทธในยะไข่ร่วมมือกับญี่ปุ่นขับไล่อังกฤษ แต่ชาวโรฮีนจาผู้นับถือศาสนาอิสลามร่วมมือกับอังกฤษ ดังนั้น เมื่อฝ่ายพันธมิตรชนะสงคราม อังกฤษจึงตามใจกลุ่มโรฮีนจาอย่างเต็มที่ ที่จะอพยพผู้นับถือศาสนานี้เข้ามาเพื่อให้มากกว่าศาสนาพุทธ ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่รู้ประวัติศาสตร์ช่วงนี้หรือ จึงรีบดำเนินการเหมือนกลัวจะไม่ได้ทำหน้าที่ มันคืออะไร? ทำงานตามกระแสหรือ

อย่าลืมว่าการอพยพออกมากๆ อาจจะเป็นแผนฟ้องชาวโลกก็ได้ ดังนั้น เมื่อพม่าบอกว่าคนกลุ่มนี้เผาบ้านตัวเองแล้วอพยพเพื่อฟ้องชาวโลกก็ได้ มันไม่แปลกหรอก! ที่มนุษย์เราเมื่อคิดทิ้งพื้นที่แล้วก็เผาบ้านเพื่อฟ้องชาวโลกเลย ความผิดมันจะได้ไปลงที่พม่า เพื่อความเป็นธรรมในเรื่องนี้ คือศาลอาญาระหว่างประเทศแสดงออกถึงความผิดของทหารพม่าแล้ว งานนี้กลุ่มโรฮีนจาไม่ผิดอะไรบ้างหรือโรฮีนจาเขาถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในดินแดนของพวกโรฮีนจา เหมือนคนในรัฐฉานถูกฆ่าในรัฐของเขาเองหรือ เพื่อความไม่ลำเอียง จึงขอติงว่าชาวโรฮีนจาหรือชนชาติที่ยึดศาสนานี้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ควรมองตัวเองบ้างว่า ชาวโลกเขาจ้องมองอยู่ เขาจ้องมองเพราะท่านทำการช็อกโลก เช่นขับเครื่องบินชนตึกที่นิวยอร์ก เป็นต้น มันคงปฏิเสธยาก ถ้าเขาจะมองว่าคนกลุ่มนี้ชอบก่อการร้าย แถมขณะนี้คนในกลุ่มนี้ก็ไปฆ่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่ภาคใต้อีก

การฆ่าพระที่มหาวิทยาลัยนาลันทาเมื่อพันปีมาแล้ว เราพอมองออกว่าเป็นเรื่องชนชาติอนารยะ พฤติกรรมนี้ไม่น่าจะมีอีก ในเมื่อทุกวันนี้โลกเข้าสู่ยุคอารยชนแล้ว

ขออย่าได้คิดว่าคนภายนอกเท่านั้นจ้องมอง แม้คนภายในของท่านเอง กล่าวคือกลุ่มสตรีในครอบครัวของท่าน เขาก็จ้องมองท่านอยู่ อย่างเช่นกรณีของสาวซาอุ ชื่อราฮาฟ ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ นั่นคือเธอหนีความกดดันจากครอบครัว ที่ผู้ชายในครอบครัวมองว่าผู้หญิงในครอบครัวเป็นเหมือนทาสของผู้ชาย

ราฮาฟเธอกล่าวว่า ถ้าส่งตัวเธอกลับไป เธอต้องถูกครอบครัวฆ่าตายแน่ ความจริงครอบครัวคงไม่ฆ่าเธอหรอก แต่คนที่จะฆ่าคือกฎหมายของซาอุดีอาระเบีย เพราะซาอุดีอาระเบียมีกฎหมายบังคับว่า คนในซาอุฯ ถ้าเลิกนับถือศาสนาอิสลามจะถูกประหารชีวิต เพราะเธอประกาศว่า เธอเลิกนับถือศาสนานี้แล้ว อะไรจะขนาดนั้น หญิงซาอุถูกกดดันทั้งทางครอบครัวและอำนาจรัฐ ขอยกตัวอย่างปัญหาที่ผู้เขียนพบในช่วงที่สอนหนังสืออยู่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งเข้ามาพบแล้วขอปรึกษาว่า หนูจะไม่นับถือศาสนานี้แล้ว จะบาปมากไหม ฟังแล้วแปลกใจ จึงรีบถามว่าเพราะอะไร เธอตอบว่า ครอบครัวของเธอพ่อแม่มีแต่ลูกผู้หญิง

กฎหมายของศาสนานี้ระบุว่า ผู้ที่มีแต่ลูกผู้หญิงไม่มีสิทธิในมรดก เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบ นี่เฉพาะหญิงมุสลิมในเมืองไทย อีกรายหนึ่งเป็นหญิงชาวบ้านเมืองไทยที่เกิดในครอบครัวนับถือศาสนานี้ เธอเล่าว่า แม่ของเธอหนีพ่อไปตั้งแต่เธอพอเดินได้ ไม่ทราบว่าถูกกดดันหรือไม่ แต่สำหรับเธอ เมื่อโตแล้ว เธอคิดว่าเธอต้องออกจากสังคมนี้ให้ได้ แต่เธอไม่ปริปากเรื่องความกดดันในครอบครัว

ผลสุดท้ายเมื่อเธอรุ่นสาว เธอก็หนีพ่อไปอยู่ในครอบครัวชาวพุทธครอบครัวหนึ่ง แล้วก็แต่งงานกับทหารที่เป็นญาติกับครอบครัวนั้น ที่แปลกก็คือเธอจะไม่ให้พ่อของเธอพบ เพราะเธอกลัวพ่อจะตามฆ่า ทำไมช่างเหมือนกับราฮาฟจัง ต่อมาเมื่อเธอมีลูกแล้ว พ่อของเธอได้หาเธอจนพบและได้มาพบเธอ ขณะพ่อมาพบท่านถือดาบมาด้วย เธอเล่าว่าเธอกลัวจนตัวสั่น แต่เธอก็ไม่เล่ารายละเอียดอย่างใด จึงขอเดาตามที่ได้ฟังมาว่า พ่อของเธอคงมาขู่ให้ลูกสาวชักจูงให้สามีมานับถือศาสนานี้ให้ได้ ถ้าชักนำมาไม่ได้ ไม่ต้องมานับถือกันอีก นี่เดาตามที่สังคมไทยซุบซิบกัน

ถ้าชาวพุทธชายมาแต่งกับหญิงในศาสนานี้ หญิงต้องนำสามีมาทำพิธีสุหนัตและเป็นผู้นับถือศาสนานี้ให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ไม่ต้องมาขึ้นบ้านนี้อีก แต่สำหรับชาวพุทธไม่ว่าอะไร ไม่มีการบังคับกันอย่างใด

ทั้งหมดที่กล่าวมา พยายามออกชื่อศาสนานี้น้อยที่สุด ทั้งนี้ผู้เขียนเชื่อว่าคำสอนบางข้อมิได้มีปรากฏในพระคัมภีร์ เพียงแต่ผู้ชายในศาสนานี้เพิ่มเติมเข้ามาภายหลัง เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง เพราะตัวมีอำนาจ ตัวอย่างเช่นการทำพิธีสุหนัตหญิง เพราะการทำสุหนัตนั้นทำเฉพาะผู้ชาย เป็นประเพณีของชาวอาหรับ พระเยซูท่านก็ทำสุหนัต แต่ต่อมาการทำสุหนัตหญิงก็มาปรากฏในชนกลุ่มนี้ แต่ทุกวันนี้ได้หายไปแล้ว คงถูกต่อต้านจากคนภายในนั่นเอง

อีกทั้งทุกวันนี้สังคมเจริญขึ้น สากลโลกปฏิเสธการทำที่ไร้เหตุผลเช่นนั้น สังคมนี้กลัวสายตาคนรุ่นใหม่ จึงไม่รื้อฟื้นขึ้นมาอีก เป็นการทำดีแล้ว สมเหตุผลแล้ว นี่คือเหตุผลที่ไม่นำชื่อศาสนานี้มาเอ่ยให้เสียหาย เพราะบางอย่างเป็นคำสอนที่เพิ่มเติมในภายหลัง

กลิ่นบงกช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image