สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอเขียนถึงประเด็นร้อนในประเทศไทยขณะนี้ ซึ่งก็คือเรื่องของมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นจาก ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะวิเคราะห์ในด้านผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย อาทิ การเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลของคนไทยที่อาจเพิ่มขึ้น เป็นต้น แต่วันนี้ ผมขอหยิบงานวิจัยทางวิชาการในต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องฝุ่นกับตลาดหุ้นโดยตรงมาแชร์กัน ในคอลัมน์ “คิด เห็น แชร์” วันนี้ครับ ว่าหากปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นได้เช่นกัน
เริ่มที่แนวความคิดเรื่อง การเงินพฤติกรรม หรือจิตวิทยาการเงิน (Behavioral Finance) ที่ในระยะหลังจะนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ในตลาดหุ้นที่ในบางครั้งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีมาตรฐานทางการเงิน เนื่องจากทฤษฎีมาตรฐานนั้นจะมีสมมุติฐานหลักว่า “นักลงทุนมีเหตุผลเสมอ” แต่ในการลงทุนจริงนั้น การตัดสินใจของนักลงทุนมักจะมีอคติและเอนเอียงจากอารมณ์ จากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ
ซึ่งสมมุติฐานเรื่องมลภาวะทางอากาศมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นนั้น ก็มีที่มาจากทฤษฎีดังกล่าว กล่าวคือ มลภาวะทางอากาศ มีผลต่อสุขภาพของประชาชนและทำให้มีผลเชื่อมโยงไปถึงอารมณ์การตัดสินใจของนักลงทุนด้วย โดย Levy T. และ Yagil J., 2554 (Air pollution and stock returns in the US, Journal of Economic Psychology) ได้ทดสอบสมมุติฐานดังกล่าวในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าดัชนี Air Quality Index (AQI) มีความสัมพันธ์เชิงลบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ กล่าวคือ ยิ่งมลภาวะทางอากาศสูงเท่าไรอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นยิ่งลดลง และในปี 2559 กลุ่มนักวิชาการ Heyes A., Neidell M., และ Saberian S., 2559 (The Effect of Air Pollution on Investor Behavior: Evidence from the S&P 500, NBER) ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติม โดยใช้ข้อมูลฝุ่น PM2.5 เป็นตัวแปร ซึ่งก็พบความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับงานวิจัยของ Levy T. และ Yagil J., 2554
เข้ามาที่ตลาดหุ้นในเอเชียกันบ้าง เนื่องจากผู้อ่านบางท่านอาจเกิดความคิดว่าพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนในสหรัฐกับนักลงทุนในเอเชียอาจจะแตกต่างกัน ผลการศึกษาอาจจะแตกต่างกันได้ ซึ่งเท่าที่ผมค้นคว้าขณะนี้ ส่วนใหญ่งานวิจัยจะเป็นการศึกษาในประเทศจีน ซึ่งผมจะขอหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง 1 ชิ้น คือ Q. Li และ C. H. Peng., 2559 (The stock market effect of air pollution: evidence from China, Applied Economics) ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้พบว่า ความสัมพันธ์เชิงลบของมลภาวะทางอากาศกับตลาดหุ้นจีนนั้นจะเกิดขึ้นทันที แต่หลังจากนั้น 2 วันอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นจีนจะดีดกลับ กลายเป็นมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับค่ามลภาวะทางอากาศเมื่อ 2 วันก่อนหน้า (มีความแตกต่างจากผลการศึกษาวิจัยที่สหรัฐบ้างเล็กน้อย)
โดยสรุปแม้จะยังไม่มีงานวิจัยเรื่องของมลภาวะทางอากาศกับตลาดหุ้นไทย แต่ผมเชื่อว่าอาจใช้ผลการศึกษาที่สหรัฐและจีนเป็นข้อมูลอ้างอิงได้บ้าง ว่าเรื่องของฝุ่น PM2.5 นั้น มีความสัมพันธ์กับอารมณ์การตัดสินใจของนักลงทุน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในเชิงลบเสียด้วย อย่างไรก็ดีสำหรับผลกระทบของปัญหาฝุ่น PM2.5 กับภาคเศรษฐกิจจริงของไทยนั้น ณ ขณะนี้ยังไม่มีกระทบที่เป็นรูปธรรม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวยังมีอัตราการฟื้นตัวที่ดีตามที่ฝ่ายวิจัยฯประเมินไว้
ขอกลับเข้ามาที่ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ก่อนจะจบคอลัมน์ “คิด เห็น แชร์” สักนิดนะครับ สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ยังใกล้เคียงกับที่ผมคาดไว้ คือการปรับขึ้นของดัชนี SET index เริ่มชะลอตัวลงในเดือน ก.พ.62 เนื่องจากประเมินว่านักลงทุนเลือกที่จะ Wait&See รอดูผลการดำเนินงาน 4Q61 และแนวโน้มในปี 2562 โดยนักวิเคราะห์จะใช้ข้อมูลในที่ประชุมนักวิเคราะห์หลังการประกาศงบการเงินในเดือนนี้เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจปรับประมาณการกำไรปี 2562 และความผันผวนของตลาดหุ้นที่อาจเกิดขึ้นระยะสั้นหลังการปรับตัวขึ้นแรงในเดือน ม.ค.62 ที่ผ่านมาเนื่องจาก Trailing PE ของ SET index (ดัชนี SET เทียบกับ EPS ย้อนหลัง 4 ไตรมาส) อาจจะพุ่งสูงขึ้นในเดือนนี้ภายหลังการรายงานงบการเงิน เนื่องจากผมประเมินว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนใน 4Q61 จะลดลงราว 25-30% YoY โดยเป็นผลจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่น่าจะต้องมีการบันทึกผลขาดทุนจากสต๊อก (ราคาน้ำมันลงแรงในปลายปี 2561) แต่ผลการดำเนินงานของกลุ่มพลังงานน่าจะรีบาวด์กลับใน 1Q62 เนื่องจากราคาน้ำมันดีดกลับตั้งแต่ต้นปี 2562
ดังนั้นความผันผวนในตลาดหุ้นที่อาจเกิดขึ้นในเดือน ก.พ.62 นี้จึงอาจเป็นโอกาส “ขายทำกำไร” เมื่อดัชนีปรับขึ้นแรง และ “ซื้อสะสม” เมื่อดัชนีปรับลงแรง