ผู้เขียน | เสฐียรพงษ์ วรรณปก |
---|
มีความเข้าใจไขว้เขวอยู่หลายอย่างในแวดวงพุทธศาสนิกชนที่ผมสังเกตเห็นอยู่ในปัจจุบัน
หนึ่งในหลายอย่างนั้น คือ คนมักพูดกันว่า ศาสนาทุกศาสนามีจุดหมายสูงสุดเหมือนกัน ต่างก็สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน คำพูดประโยคนี้มักจะหลุดออกจากปากนักวิชาการหรือผู้ที่คิดว่าตนเป็นพหูสูต
ผมไม่เถียงหรอกว่า ศาสนาทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี แต่ที่อยากจะติงก็คือดีไม่เหมือนกัน ดีคนละทาง ยิ่งถ้าพูดถึงเป้าหมายสูงสุดทางศาสนากันด้วยแล้ว ยิ่งคนละเรื่องกันเลย ไม่ควรเอามาปนกันให้เลอะ
เราพูดกันไม่ได้และไม่ควรพูดว่า ศาสนาไหนดีกว่าศาสนาไหน คุณมีสิทธิคิดและพูดกันเงียบๆ ในแวดวงของคุณ แต่จะประกาศออกมาให้คนต่างศาสนาเขาได้ยินได้ฟังหาควรไม่
เจ้าของยายี่ห้อบวดหาย มีสิทธิคิดและพูดกันในภายในพวกของตนว่าบวดหายดีกว่าทัมใจ และเจ้าของทัมใจก็มีสิทธิทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่อย่าได้ประกาศต่อสาธารณะ ว่ายาของตนดีกว่าของอีกฝ่ายหนึ่งเลว หาไม่จะร่วมรัฐบาลกันไม่ได้
เรื่องของยาแก้ปวดฉันใด เรื่องศาสนาก็ฉันนั้นแหละ
พราหมณ์-ฮินดู คริสต์ อิสลาม เขาสอนศาสนิกของเขาให้มีศรัทธาและภักดีต่อพระเจ้าเบื้องบนผู้สร้างโลกและสร้างเขามา อย่างพราหมณ์-ฮินดูนี่ เขาแยกระดับคนไว้เด็ดขาดเลย เรียกว่า “วรรณะ” ใครเกิดวรรณะไหน ต้องทำตามหน้าที่ประจำวรรณะนั้น ซึ่งเรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะหรือหน้าที่นี้พระเจ้าจัดสรรมาให้แต่ละวรรณะไม่เหมือนกัน
ศาสนาอื่นไม่มีระบบวรรณะ แต่ความเชื่อพื้นฐานอื่นๆ คล้ายกัน
คือเชื่อว่ามนุษย์พระเจ้าสร้างมา มีสติปัญญา และความสามารถจำกัด ไม่สามารถพัฒนาตนให้เข้าถึงจุดหมายสูงสุดหรือช่วยตนให้ “รอด” แท้จริงไม่ได้ หน้าที่ช่วยให้รอดแท้จริงนั้นเป็นของพระเจ้า
ถ้ามนุษย์ทำดีเต็มที่ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจนเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะรับเขาไปอยู่บนสวรรค์ด้วย ทางพราหมณ์-ฮินดูเรียก “โมกษะ” คริสต์เรียกสวรรค์ อิสลามเรียกอย่างไร ยังไม่ได้ถามผู้รู้มุสลิม แต่จะเรียกอย่างไร แนวคิดสำคัญไม่ผิดไปจากที่ว่านี้
มนุษย์มาจากพระเจ้า และจะกลับไปหาพระเจ้าในที่สุด ระบบความเชื่อนี้เรียกกันในทางวิชาการว่า “เทวนิยม” (ศาสนาที่เชื่อถือและยอมรับพระเจ้า)
ส่วนพระพุทธศาสนานั้น มองมนุษย์เป็น “เวไนย” สัตว์ที่พัฒนาได้ด้วยสติปัญญา ด้วยความเพียรพยายามของตนเอง สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิตด้วยตนเอง พุทธเน้นเรื่องกรรม คือลงมือกระทำด้วยตนเอง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน
คนอื่น หรือสิ่งอื่น เป็นเพียงปัจจัยภายนอกที่ช่วยสนับสนุน ให้การช่วยเหลือตนเองของแต่ละคนให้ดีขึ้นหรือรวดเร็วขึ้นเท่านั้น
พระศาสดาของชาวพุทธมิใช่ผู้กำหนดวิถีชีวิตของชาวพุทธ มิใช่ดวงวิญญาณใหญ่ที่มอบดวงวิญญาณเล็กมาให้มนุษย์ มนุษย์ไม่มีวิญญาณอมตะที่ไม่รู้จักตายอย่างนั้น พระศาสดามิได้อยู่บนสรวงสวรรค์ที่คอยรับเอาศาสนิกผู้ภักดีไปอยู่ด้วย
พระศาสดาเป็นเพียง “กัลยาณมิตร” ผู้คอยชี้แนะทางให้เดิน พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา จงรีบพากเพียรพยายามดำเนินตามทางที่บอกเสียแต่เดี๋ยวนี้ ตถาคตทั้งหลายเป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เท่านั้น
พูดง่ายๆ ว่า อยากถึงจุดหมายปลายทางก็รีบเดินไปเองสิ จะมามัวรอให้คนอื่นเขาอุ้มกระเตงกระไรได้
คนอุ้มเขาก็เหนื่อยบ้างสิวะ
ในทรรศนะศาสนาพุทธ ทุกคนมี “ศักยภาพ” ในตัวที่จะลุถึงเป้าหมายสูงสุดด้วยตัวเอง โดยปฏิบัติตามแนวทางที่พระศาสดาทรงชี้บอกไว้ ไม่เกี่ยวข้องกับพระผู้สร้างผู้บันดาลใดๆ เป้าหมายสูงสุดก็คือการละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง เรียกตามศัพท์ศาสนาพุทธว่า “นิพพาน”
แปลตามตัวอักษรว่า “ดับสนิท” หมายถึงดับกิเลส มิใช่ดับชีวิตหรือตาย
หลายคนชอบแปลนิพพานว่า “ตาย” ทำให้เกิดความไขว้เขวอย่างฉกรรจ์
มิน่าล่ะ คนจึงไม่อยากไปนิพพาน ได้แต่เดินสวนทางนิพพานกันให้วุ่น
เสฐียรพงษ์ วรรณปก