เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีนายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ ยื่นหนังสือถึงประธาน กกต.ให้พิจารณาและวินิจฉัยส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่าเป็นกรณีแรกที่มีการร้องเรียนเรื่องนี้ เหมือนกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ยื่นหนังสือถึงกกต.ให้ตรวจสอบการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะโดยปกติแล้วนายกฯจะไม่สมัครเป็นนายกฯอีกครั้ง เนื่องจากอาจจะถูกมองว่าสืบทอดอำนาจหรือไม่ ซึ่ง กกต.ยังไม่เคยใช้ พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 92 (1) และ (2) ฟ้องพรรคการเมืองใดที่เข้าข่ายเลย ดังนั้น การที่นายเรืองไกรยื่นฟ้อง และ กกต.รับไว้ ก็สามารถเทียบเคียงการพิจารณารับเรื่องกรณีของนายวิญญัติได้ ขณะเดียวกันในวันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ก็จะยื่นหนังสือร้อง กกต.ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งถ้าทุกอย่างจบด้วยดีก็เป็นบรรทัดฐานของศาลต่อไป โดยเฉพาะกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกฯ พปชร.ที่มาจากการยึดอำนาจจะเข้าข่ายเป็นปรปักษ์กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญปี 60 ไม่ได้กำหนดให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง แต่เมื่อท่านตัดสินใจไม่ลาออก มีผลทำให้มีการฟ้องท่านขึ้นมาเพราะท่านอยู่ในสถานภาพหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี การสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดหน้าอาจจะซ้ำซ้อนกับตำแหน่งที่ดำรงอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องของศาลฯที่จะชี้ขาด และเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า กรณีเช่นนี้จะเป็นเหตุให้ยุบพรรค พปชร. และส่งผลกระทบให้ลดจำนวนแคนดิแดตนายกฯ และพรรคการเมืองลงไปหรือไม่ ทั้งนี้ เชื่อว่าศาลจะเร่งพิจารณาเพื่อทำให้เกิดความชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง มิเช่นนั้นจะกระทบต่อการนับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ อาจส่งผลให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ได้
เมื่อถามว่า หากระหว่างนี้ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า การลาออกอาจมีผลให้ผู้ร้องถอนคำร้องออกไปหากผู้ร้องพอใจ
