‘พิชัย’ ติงสภาพัฒน์ให้ข้อมูลไม่ครบ สตาร์ตอัพไทยไม่พัฒนาเพราะเผด็จการ จี้เลื่อนร่าง พ.ร.บ ข้าวรอ รบ.ใหม่เคาะ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช) กล่าวว่า ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงว่าเศรษฐกิจไทยปี 2561 ขยายตัวได้ 4.1% ขยายตัวมากที่สุดใน 6 ปี นั้น เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบ เพราะหากมองย้อนหลังในปี 2556 เศรษฐกิจไทยโตได้เพียง 2.9% เพราะมีการประท้วงของ กปปส. หากไม่มีการประท้วงเศรษฐกิจไทยน่าจะโตได้ 4% แล้ว และต่อมาในปี 2557 ก็มีการทำรัฐประหารทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมากแค่ 0.8% และการขยายตัวก็ต่ำมาตลอดตั้งแต่มีการรัฐประหาร ที่ 2.8%, 3.2%, 3.9% และมาปี 2561 นี้ 4.1% และเป็นการขยายตัวที่ต่ำสุดในอาเซียนตลอด 6 ปี และหากเทียบกับปี 2555 ก่อนมีการประท้วงและการปฏิวัติ เศรษฐกิจไทยขยายได้ถึง 6.6% ซึ่งสูงกว่าทั้ง 6 ปีนี้มาก หากไม่มีการรัฐประหารเศรษฐกิจไทยก็น่าจะโตได้อย่างต่ำ 4-5% ทุกปี จึงอยากให้สภาพัฒน์ได้ให้ข้อมูลให้ครบทุกด้าน

นายพิชัยกล่าวว่า จากการได้พบกับตัวแทนของ WEF (World Economic Forum) ตัวแทน WEF ได้แสดงความเป็นห่วงการปรับตัวของไทยกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วของโลก ที่แม้แต่ WEF เองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วขนาดไหนในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งตรงกันแนวคิดของพรรค ทษช ที่เห็นว่าไทยต้องเร่งปรับตัว และ WEF ยังให้ข้อมูลอีกว่า แม้ไทยจะมีการใช้เทคโนโลยีกันมากแต่กลับไม่สามารถพัฒนาบริษัทสตาร์ตอัพทางเทคโนโลยีให้ประสบความสำเร็จเป็น ยูนิคอร์น (บริษัทที่มูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ได้ ไม่เหมือนกับในประเทศ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่สามารถพัฒนาบริษัทสตาร์ตอัพทางเทคโนโลยีให้ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมากได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้เคยเตือนแล้วว่าหากประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการที่กดดันและปิดกั้นเสรีภาพทางความคิดของประชาชน จะทำให้ประชาชนไม่สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้ และได้ส่งผลกระทบแล้ว เพราะประเทศในกลุ่มอาเซียนมีบริษัทสตาร์ตอัพทางเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศเป็นเงินจำนวนหลายแสนล้านบาท ที่ไทยได้พลาดโอกาสไป

“พรรคไทยรักษาชาติหากสามารถได้เป็นรัฐบาลจะส่งเสริมบริษัทสตาร์ตอัพเหล่านี้อย่างเต็มที่ เพื่อประเทศไทยจะได้พัฒนาและเพิ่มมูลค่าให้กับประเทศ อีกทั้งสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ โดยหวังว่าประเทศไทยจะสามารถพัฒนาก้าวไกลเป็นฮับการพัฒนาบริษัทสตาร์ตอัพทางเทคโนโลยีของภูมิภาคนี้ได้ อีกทั้งพัฒนาและ ปฏิรูปประเทศตามนโยบายโค้ชไทยแลนด์ โดยต้องเปิดกว้างให้ผู้มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลกเข้ามาร่วมพัฒนา โดยไทยจะต้องให้ความสะดวกในการแก้ไขกฏระเบียบต่างๆ ให้เกิดความคล่องตัว และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่จะตัดงบกลาโหมเพื่อมาฟื้นเศรษฐกิจ ก็ไล่ไปฟังเพลงหนักแผ่นดินกันแล้ว เป็นต้น” นายพิชัยกล่าว

นอกจากนี้ ยังอยากขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เลื่อนการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ข้าว ไปจนถึงหลังการเลือกตั้ง เพื่อให้รัฐบาลใหม่ และรัฐสภาใหม่ ได้พิจารณาอย่างละเอียด เพราะเรื่องดังกล่าวกระทบกับชาวนาเป็นวงกว้าง อีกทั้งความไม่น่าเชื่อถือของรัฐบาลนี้ที่มักจะถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุนมาโดยตลอด ทำให้เกิดความไม่ไว้ใจที่จะผ่าน ร่าง พ.ร.บ.ข้าวในรัฐบาลนี้ และไม่มีความเร่งรีบที่จะต้องเร่งผ่าน หากไม่ต้องการเอาใจนายทุนรายใดเป็นพิเศษ จึงอยากเรียกร้องให้เลื่อนการพิจารณาไปจนกว่าจะมีรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ประชาชนจะสามารถตรวจสอบได้อย่างแท้จริง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image