⦁…วันอาทิตย์นี้แล้ว “การเลือกตั้ง” ที่ห่างหายไปจากประเทศไทย 8 ปีเต็ม จะกลับมาให้ประชาชนผู้โหยหาประชาธิปไตยได้ชุ่มชื่นด้วย “ความหวัง” ทว่านับวันความรู้สึกที่ควรชื่นมื่นนั้น กลับกลายเป็นค่อยๆ เพิ่มความวิตกว่าจะยิ่งตอกย้ำ “ความสิ้นหวัง” จากเดิมที่อ่อนล้ากับ “กติกาโครงสร้างอำนาจรัฐ” ที่ “ลดทอนอำนาจประชาชน” ถึงวันนี้ “กลไกที่เกี่ยวข้อง” ยิ่งซ้ำเติมให้รู้สึกไม่มั่นใจว่า “อำนาจประชาชนที่เหลือเพียงน้อยนิด” นั้น จะไม่ถูกบดบังด้วย “ความไม่ชอบมาพากล” ที่ถูกทำเป็น “มองไม่เห็น”
⦁…การเลือกตั้งที่เป็น “การเลือกผู้บริหารมาจัดการประเทศ” ตามความต้องการของประชาชน กำลังถูกบางฝ่ายทำให้เป็น “สงครามชิงอำนาจ” ที่ธรรมชาติของการสู้รบคือ “ต้องทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ” ลืมไปว่าการแข่งขันกันของ “พรรคการเมือง” ไม่ใช่ “สมรภูมิ” ที่ต้อง “มุ่งชัยชนะโดยไม่คำนึงถึงรูปแบบ”
⦁…จัด “เลือกตั้ง” ก็เพื่อสะท้อน “ความต้องการของประชาชน” ว่าชื่นชอบ “พรรคการเมืองแบบไหน” อยากได้ “นโยบายแบบใด” ในช่วงเวลาเช่นนี้ ความพยายามที่จะต้องชนะ โดยไม่สนใจหลักการ “ประชาธิปไตยสากล” หากเป็นการ “ฝืนการตัดสินของประชาชน” คงมีปัญหาตามมาอีกมากมาย “ความฉ้อฉล”
ทั้งหลาย จะกลายเป็น “เงื่อนไขของความแตกแยก” ที่หนักหนากว่าเดิม
⦁…ความเป็นไปของประเทศชาติ ที่ “การเลือกตั้ง” เป็นการทำสงครามโดยเห็น “ความต้องการของประชาชน” เป็น “ข้าศึก” เช่นนี้ อารมณ์ของผู้คนจะคลี่คลายจาก “ความหดหู่” ลงบ้าง ก็ด้วย “ความเป็นธรรมยังพอมีหวังจะให้เห็น” และเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หนีไม่พ้นที่จะฝากความหวังไว้กับ “ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ” ซึ่งในกรณีนี้คือ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” เพียงแต่ว่า “ความบกพร่อง” และ “ข้อครหา” ทั้งหลายที่ต่อเนื่องมากมายขึ้นทุกขณะ ไม่มีการชี้แจงให้อุ่นใจ ผู้ใฝ่หาประชาธิปไตย จึงได้แค่เสพ “ความสิ้นหวัง” ด้วยความหดหู่ ในช่วงเวลาที่ “ควรจะมีความหวัง”
⦁…กระแสการเลือกตั้ง ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการต่อสู้ระหว่าง “ฝ่ายนิยมอำนาจเผด็จการ” กับ “ผู้รักประชาธิปไตย” ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็น “ภาพชัด” เพื่อประชาชนตัดสินได้ง่าย เมื่อถึงวันนี้ “พรรคการเมือง” ส่วนใหญ่เลือกที่จะวางตัวเองไว้ใน “ฝ่ายประชาธิปไตย” แม้จะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด ที่แต่ละพรรคเลือกที่จะเป็น “ทางออก ข้ออ้าง” สำหรับตัวเอง ในวันที่ต้องตัดสินใจเลือก “ร่วมรัฐบาล” แต่สะท้อนว่า “ส่วนใหญ่รับรู้ร่วมกัน” ว่า “ประชาธิปไตย” เป็น “กระแสหลัก” ที่เชื่อว่า “ประชาชนส่วนใหญ่” เลือก
⦁…อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” เป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิด “การแบ่งแยกของคนไทย” อีกมิติ กลายเป็นแยกเป็น “ฝ่ายคนรุ่นใหม่” กับ “ฝ่ายไดโนเสาร์ เต่าล้านปี” เป็นการ “สร้างความแตกแยก” ที่ลงลึกหนักไปอีก เป็น “รุ่นลูก รุ่นหลาน” เลือกที่จะเดินสวนทางกับ “รุ่นพ่อ รุ่นแม่ รุ่นปู่ย่าตายาย”
⦁…ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าใคร ในชะตากรรมของประเทศ คือ “ทุนใหญ่ทั้งหลาย” ผลได้จาก “ผูกขาด” ก็เรื่องหนึ่ง แต่ผลเสียจาก “อนาคตประเทศ” ความเป็นความจริงที่ซ้อนเข้ามาให้ “ต้องคิดถึง” การเมืองที่ “การจัดตั้งรัฐบาล” ถูกตั้งคำถามในทาง “ขัดแย้งกับความต้องการของประชาชนหรือไม่” ธุรกิจในประเทศที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ “ทุนใหญ่” น่าจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ ว่า “ทางออกควรเป็นแบบไหน”
ชโลทร