INGRS โชว์รายได้ปี61 โต 10% เฉียด 3,200 ล้าน จ่ายปันผล 143% ของกำไรสุทธิ หุ้นละ 0.026 บาท

นายฮามิดี บิน เมาลอด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ INGRS กล่าวว่า ปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 3,199.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากรายได้รวม 2,913 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นรายได้จากบริษัทย่อยในประเทศไทยประมาณ 38.4% รายได้จากบริษัทย่อยในประเทศมาเลเซียประมาณ 49% รายได้จากบริษัทย่อยในประเทศอินเดียประมาณ 6.6% และรายได้จากบริษัทย่อยในประเทศอินโดนีเซียประมาณ 6%

ทั้งนี้บริษัทย่อยในอินเดียมีรายได้เพิ่มขึ้น 187 ล้านบาท บริษัทย่อยในไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น 57 ล้านบาท บริษัทย่อยในอินโดนีเซียมีรายได้เพิ่มขึ้น 49 ล้านบาท และบริษัทมีกำไรสุทธิ 76,363,009 บาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 147,198,013 บาทในปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบจากลูกค้าโปรตอนในมาเลเซียและค่าใช้จ่ายภาษีรายได้ที่เพิ่มขึ้น 27.5 ล้านบาทจากปีก่อน

นายฮามิดี บิน เมาลอด กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลทั้งปี อัตราหุ้นละ 0.052 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 75,241,019.88 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 142.6% ของกำไรสุทธิ และคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 7.6% (คำนวณจากราคาปิดวันก่อน) โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.026 บาท/หุ้น เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2562 และจะจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.026 บาท/หุ้น แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 6 มิถุนายน 2562 กำหนดวันที่ 18 เมษายน 2562 เป็นวันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น

นายฮามิดี บิน เมาลอด กล่าวว่า INGRS วางแผนจะขยายธุรกิจในหลายประเทศทั้งอินเดีย ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในอินเดียจะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ตลอดจนขยายฐานลูกค้าผลิตรถยนต์รายใหม่ๆ เพิ่มเติม เนื่องจากอินเดียมีอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีการผลิตรถยนต์ปีละกว่า 5 ล้านคัน และยังเติบโตสูงสุดถึง 9% จากปีก่อน ปัจจุบันธุรกิจของบริษัทมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยบริษัทได้เซ็นสัญญารับออเดอร์ใหม่เพื่อผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ให้กับผู้ผลิตรถยนต์หลายแห่งในหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง และเริ่มผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และเมื่อเร็วๆ นี้ได้เซ็นสัญญาเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายระบบหุ่นยนต์เทคโนโลยีระดับสูง (COBOT) กับกลุ่ม Neuromeka (นิวโรเมก้า) จากเกาหลีใต้ เพื่อจำหน่ายในภูมิภาคอาเซียน อินเดีย และประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง รวมถึงได้เซ็นสัญญาพันธมิตรด้านเทคนิคสำหรับโครงการผลิตชิ้นส่วนให้ฮุนได ในประเทศอินโดนีเซียด้วย จึงคาดว่าโครงการใหม่หลายโครงการในหลายประเทศจะช่วยผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตได้มั่นคง

Advertisement

นายฮามิดี บิน เมาลอด กล่าวอีกว่า บริษัทกำลังเสนองานใหม่อีกหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่เป็นโครงการระดับโลกซึ่งมีมูลค่าโครงการสูงกว่าโครงการทั่วไป เนื่องจากแต่ละโครงการจะมีการผลิตชิ้นส่วนป้อนโรงงานในหลายประเทศ โดยบริษัทคาดว่าจะทยอยทราบผลการประมูลภายในปีนี้ และสำหรับประเทศมาเลเซีย บริษัทคาดว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์จะเริ่มปรับตัวดีขึ้น และบริษัทคาดว่ายอดการผลิตชิ้นส่วนให้กลุ่มโปรตอนซึ่งเป็น 1 ในลูกค้าหลักจะเพิ่มมากขึ้นและเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งเมื่อรวมกับการผลิตชิ้นส่วนโครงการใหม่ๆ ให้กลุ่มเพอโรดัว จะทำให้บริษัทย่อยในมาเลเซียมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image