‘กฤษฎา’แจงนโยบายประชารัฐปลูกข้าวโพดไม่ใช่เหตุจุดความร้อน แต่เพิ่มรายได้ชาวนา

นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงบทความเรื่อง “ถอดบทความควันพิษ รัฐต้องทบทวนนโยบายข้าวโพดประชารัฐ” ในสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับหนึ่ง มีใจความว่า “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังการทำนา” นั้น เป็นสาเหตุของการที่ทำให้เกิดจุดความร้อนในปีนี้นั้นว่า

ข้อเท็จจริงโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้น เป็นการสนับสนุนให้ชาวนาปลูกข้าวโพดในช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค. 61 ซึ่งเป็นช่วงหลังฤดูทำนาประกอบกับโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายให้ชาวนาลดพื้นที่ทำนาปรังมาปลูกข้าวโพดทดแทนเพื่อรักษาปริมาณผลผลิตข้าวไม่ให้ล้นตลาด โดยพื้นที่ปลูกข้าวโพดจึงอยู่ในพื้นที่ทำนาข้าวเดิมซึ่งเป็นที่ราบ ไม่ใช่พื้นที่ป่าเขาแต่อย่างใด

ประกอบกับชาวนาที่เข้าร่วมโครงการต้องลงทะเบียนการปลูกข้าวโพดก่อนเพราะรัฐมีโครงการช่วยทำประกันภัยพืชผลให้ไร่ละ 65 บาท จึงทำให้สามารถตรวจสอบบริเวณและจำนวนพื้นที่ปลูกข้าวโพดได้ชัดเจนซึ่งสามารถยืนยันการปลูกได้จำนวน 724,931ไร่ เกษตรกร 87,563 ราย ใน 37 จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการฯ ตามความเหมาะสมของพื้นที่ไม่ได้เป็นจำนวนล้านไร่ตามที่บทความอ้างถึงแต่อย่างใด

รวมทั้งโครงการเสริมพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดครั้งนี้ รัฐไม่ได้อุดหนุนให้ชาวนาไร่ละ 2,000 บาทไม่เกิน 15 ไร่ต่อครัวเรือนเหมือนปีก่อนๆ แต่ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นรัฐประสานงานกับสมาคมผู้ค้าอาหารสัตว์ให้เข้าไปรับซื้อข้าวโพดผ่านสหกรณ์การเกษตรซึ่งเป็นสถาบันเกษตรแทนการสนับสนุนเงินงบประมาณไร่ละ 2,000 บาท

Advertisement

นอกจากนี้ยังปรากฎข้อเท็จจริงจากรายงานของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและเครื่องมือวัดจุดความร้อนดำเนินการตรวจสอบพื้นที่กำหนดจุดความร้อน (Hot spot) แล้วไม่ปรากฎว่ามีจุดความร้อนเกิดขึ้นในพื้นที่โครงการเสริมพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังนาแต่อย่างใด

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าโครงการสานพลังประชารัฐฯ จึงไม่ใช่สาเหตุของการเกิดจุดความร้อน (Hot spot) แต่อย่างใด ในทางตรงข้ามในปีนี้ชาวนาที่เข้าร่วมโครงการฯ จะมีรายได้จากการขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างยั่งยืนชัดเจนเนื่องจากไม่มีปัญหาผลผลิตล้นตลาด นับว่าเป็นการเริ่มปฎิรูปภาคการเกษตรตามแนวทางการตลาดนำการผลิตที่เกษตรกรลงมือทำการเกษตรกรรมแล้วมั่นใจว่าจะมีตลาดมารองรับผลผลิต ทำให้ไม่ต้องเรียกร้องให้รัฐบาลไปช่วยอุดหนุนหรือชดเชยต้นทุนการผลิตในรูปโครงการรับจำนำหรือประกันราคาผลผลิตที่ต้องใช้งบประมาณรัฐจำนวนมากเหมือนในอดีตที่ผ่านมาแต่อย่างใด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image