“กลินท์”ต่อนั่งประธานสภาหอฯ เปิดเวิร์กช็อป ระดมวาระร้อนส่งต่อรัฐบาลใหม่

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังที่ประชุมใหญ่สามัญสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 เมษายน ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานกรรมการฯต่ออีก 1 วาระ โดยมีวาระดำเนินงาน 2 ปี ว่า แนวนโยบายในการบริหารงานจะดำเนินการตามวิสัยทัศน์ คือ เป็นสถาบันหลักทางการค้าและบริการของประเทศ ที่ใช้ข้อมูล ความรู้ เครือข่าย และความร่วมมือ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมี 5 พันธกิจหลัก คือ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 2. เสริมสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง 3. ดำเนินธุรกิจอย่าวโปร่งใส 4.ต่อยอดความรู้และประสบการณ์ และ5 พัฒนาองค์กร

นายกลินท์ กล่าวว่า ซึ่งจะครอบคลุม 3 ส่วน คือ การค้าและการลงทุน การเกษตรและอาหาร การท่องเที่ยวและบริการ โดยผลักดันนำดิจิทัลเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้สร้างสรรค์ควบคู่กับแนวคิดไทยเท่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น จัดทำดิจิทัลแพลตฟอร์มของหอการค้าเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลและสิทธิประโยชน์ต่างๆ การจัดทำไทยแลนด์ ดิจิตอลทัวร์ลิซึ่ม รวมถึงผลักดันให้ภาครัฐเร่งดำเนินการอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อให้เกิดความง่ายในการประกอบธุรกิจ(Ease of Doing Business )แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน และผลักดันรัฐบาลเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยดึงตัวแทนจากเครือข่ายภาคเอกชน ทั้งหอการค้าจังหวัด สมาคมการค้า หอการค้าต่างประเทศ และคณะกรรมการขับเคลื่อนหอค้าไทยส่วนกลาง รวม 60 คน ในการกำหนดแนวทางและขับเคลื่อนตามนโยบายปี2562-63

” คณะกรรมการจะประชุมเวิร์กช็อปนัดแรกในวันที่ 26-27 เมษายนนี้ เพื่อทบทวนยุทธศาสตร์ และจัดทำข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนแผนงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกเอกชน เศรษฐกิจ และสังคม จากนั้นจะรวบรวมนำเสนอรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อสะท้อนถึงความต้องการภาคเอกชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ “นายกลินท์ กล่าว

นายกลินท์ กล่าวว่า จากหารือหอการค้าทั่้วประเทศและหอนานาชาติ ต่างให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิดในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่าจะมีความชัดเจนเมื่อไหร่ ใครเข้ามาบริหารงาน นโยบายจะต่อเนื่องอย่างไร และอายุรัฐบาลนานแค่ไหน แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลขอให้เดินหน้านโยบายลงทุนพื้นฐาน ส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงานและการศึกษาไม่ต้องใช้การแจกเงินอย่างเดียว เพราะดีต่อระยะยาวกว่า รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มีความโปร่งใส ไร้คอร์รัปชั่น

Advertisement

นายสแตนลีย์ คัง ประธานหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเป็นพิเศษเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลคือความต่อเนื่องของแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ นโยบายดูแลเศรษฐกิจและการส่งเสริมภาครัฐที่ชัดเจน มากกว่าบุคคลที่เขามาบริหารและอายุรัฐบาล อย่างเช่น อีอีซี ลงทุนไฮสปีด และแผนส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ หากไม่มีเปลี่ยนแปลงก็จะสร้างความมั่นใจและความต่อเนื่องการลงทุนจากทั่วโลก เพราะปัจจุบันต่างชาติยังมองว่าไทยเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน เพราะมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและมีแผนลงทุนต่อเนื่อง มีความง่ายในการประกอบธุรกิจ( Ease of Doing Business ) มีกฎหมายที่ชัดเจน โดยไม่ได้มองเฉพาะว่าประเทศไทยมีต้นทุนการลงทุนที่ต่ำ แต่ก็กังวลหากการดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้านานกว่า 3 เดือน ซึ่งต้องมีเหตุผลว่าทำไมจึงล่าช้า

นายสแตนลีย์ กล่าวว่า ในการค้าระหว่างประเทศ อยากเสนอให้รัฐบาลใหม่รื้อและเร่งรัดการเจรจาเปิดเสรี(เอฟทีเอ)ไทยกับสหภาพยุโรป(อียู) เพิ่มเติมจากการเดินหน้าผลักดันเปิดเสรีกรอบอาเซป( RCEP) และซีพีทีพีพี( CPTPP) และอียู เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการแก้ไขกฎหมายเรื่องเกี่ยวกับการทำสัญญาการว่าจ้างและการส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters: IHQ)

นายสแตนลีย์ กล่าวว่า สำหรับหอการค้านานาชาติปีนี้มี 15 ประเทศที่ร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ได้แก่ อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯอังกฤษ เยอรมัน ออสเตรเลีย และเดนมาร์ก

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image