พณ.ชี้เทรดวอร์รอบใหม่ ส่งออกไทยสูญอีก5.6-6.7พันล้านดอลล์ เตรียมหารือเอกชนหาทางออก (มีคลิป)

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มเติม 2 ครั้ง มูลค่ารวมกว่า 5 แสนล้านเหรียญ และจีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐตอบโต้มูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านเหรียญนั้น เบื้องต้นในส่วนของขึ้นภาษีของสหรัฐที่ครอบคลุมสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ พบว่าอาจทำให้มูลค่าการส่งออกไทยลดลงประมาณ 5.6-6.7 พันล้านเหรียญ เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้ครอบคลุมรายการที่ไทยส่งออกไปประเทศต่างๆ ประมาณ 46%

“ตัวเลขดังกล่าวคำนวณจากทั้งการส่งออกไปสหรัฐทดแทนจีน การส่งออกไปจีน และการส่งออกสินค้าที่เป็นห่วงโซ่การผลิตจีนไปยังตลาดอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ไต้หวัน มาเลเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเวียดนาม ซึ่งในกลุ่มสินค้า 2 แสนล้านเหรียญดังกล่าว การส่งออกไปสหรัฐมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น 9.2% การส่งออกไปจีนมีแนวโน้มลดลง 9.7% และการส่งออกไปประเทศที่สามที่เป็นซัพพลายเชนลดลง 7.5% ทั้งหมดเป็นตัวเลขของไตรมาสแรกปี 2562 ขณะเดียวกันพบว่าการส่งออกไปยังสหรัฐ อินเดีย และเวียดนาม มีแนวโน้มขยายตัวได้ในปีนี้ จึงเป็นตลาดที่ต้องเร่งส่งออกทดแทนจุดเปราะบางอื่นๆ” นางสาวพิมพ์ชนกกล่าว

นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวว่า เพื่อรับมือกับการส่งออกที่อาจลดลง สนค.ได้วิเคราะห์รายการสินค้าในรายละเอียด พบว่าไทยมีสินค้าหลายตัวที่การส่งออกขยายตัวได้น่าพอใจ เช่น สินค้าเกษตรและอาหาร ผลไม้หลายชนิด เครื่องดื่มหลายประเภท ไก่ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เป็นต้น ซึ่งกลุ่มสินค้านี้แม้จะมีมูลค่าน้อย ไม่อาจชดเชยการหดตัวในสินค้าอุตสาหกรรมได้ทั้งหมด แต่การส่งออกสินค้าเหล่านี้จะมีผลในทางจิตวิทยาต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เนื่องจากมีผลต่อรายได้ของภาคเกษตรและเอสเอ็มอี ควรเร่งผลักดันการส่งออกให้มากขึ้น

สำหรับสินค้ากลุ่มที่การส่งออกอาจลดลงมาก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์และชิ้นส่วน ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยนักลงทุนต่างชาติและไทยขนาดใหญ่ อาจต้องใช้มาตรการลงทุนเป็นเครื่องมือสนับสนุน โดยดึงดูดให้นักลงทุนจากทุกประเทศรวมทั้งจีนมาลงทุนในอีอีซีมากขึ้น แต่ต้องเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ผลิตสินค้ารุ่นเก่า รวมทั้งอาจขอให้เร่งขยายการลงทุนและ production capacity ในไทยมากขึ้นกว่าปัจจุบัน และให้หาทางส่งออกไปสหรัฐ และประเทศอื่นทดแทนการพึ่งตลาดจีน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนการกระจายตลาดดังกล่าวอย่างเต็มที่

Advertisement

นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวว่า สำหรับกลุ่มสินค้ายานยนต์ อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากมาตรการ safeguard ภายใต้มาตรา 232 (ความมั่นคง) ของสหรัฐ ที่คาดว่าจะประกาศวันศุกร์นี้ รวมทั้งจากความตกลง USMCA ที่มาแทน NAFTA จะมีผลใช้บังคับในต้นปี 2563 โดยกำหนดเงื่อนไข local content เข้มงวดขึ้น จาก 60.62.5% เป็น 75% อาจจะต้องมีการสนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทยหาทางทำ Joint Venture หรือลงทุนร่วมกับบริษัทต่างชาติที่ลงทุนในสหรัฐ หรือเม็กซิโก อยู่แล้วเพื่อรักษาสัดส่วนในตลาดไว้

“สำหรับรายการสินค้าที่สหรัฐประกาศเพิ่มเติมเมื่อคืนวันที่ 13 พฤษภาคม และรายการสินค้าที่จีนได้ประกาศตอบโต้สหรัฐแล้วนั้น สนค.อยู่ระหว่างการศึกษาว่ามีรายการใดที่ไทยสามารถแสวงหาโอกาสในการส่งออกเพิ่มได้ โดยเฉพาะมีสินค้าเกษตรอยู่หลายรายการ สินค้าอาหารและสินค้าประมง”

นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าไม่ได้กระทบไทยเพียงประเทศเดียว แต่ส่งผลไปทั่วโลก อาจทำให้ปริมาณการค้าโลกหดตัว รวมทั้งส่งผลต่อตลาดเงิน ตลาดทุน และราคาน้ำมัน การขึ้นภาษีตอบโต้กันระหว่างสหรัฐและจีนเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเช่นไทย โดยรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์มิได้นิ่งนอนใจ ได้เตรียมแนวทางการรับมือไว้

Advertisement

นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวว่า นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมต่างๆ เตรียมพร้อม เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ให้ทำแผนรุกตลาดในสินค้าศักยภาพลงลึก และเร่งการพัฒนาการส่งออกผ่านออนไลน์ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เตรียมข้อมูลเรื่อง non-tariff measures ที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่ควรเร่งเจรจา กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมมาตรการการค้าชายแดนและการขายข้าว และ สนค.เสนอแนวทางรับมือระยะสั้นและยุทธศาสตร์ระยะกลาง ซึ่งรัฐมนตรีช่วยฯกำลังจะเดินทางไปอินเดีย เพื่อหาลู่ทางการขยายการส่งออกปาล์มน้ำมันเพิ่มเติม โดยอินเดียเป็นตลาดหนึ่งที่จะเพิ่มความสำคัญขึ้น จำเป็นต้องให้ผู้แทนระดับสูงไปกระชับความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เป็นยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องรอรัฐบาลใหม่ แต่สำหรับเรื่องการเจรจาเอฟทีเอกับประเทศต่างๆ ต้องรอรัฐบาลใหม่

“กระทรวงจะเชิญกลุ่มนักลงทุนและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์และชิ้นส่วน มาหารือเบื้องต้นก่อน เพราะเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หรือนางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ก่อนจะมีการประชุมหารือกับทูตพาณิชย์ทั่วโลกปลายเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อกำหนดเป้าหมายส่งออกต่อไป” นางสาวพิมพ์ชนกกล่าว

นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวว่า สำหรับเรื่องที่สหรัฐเพ่งเล็งว่าไทยอาจจะเข้าข่ายเป็นประเทศที่เป็น currency manipulator นั้น จากข้อมูลการส่งออกไปสหรัฐของฝ่ายไทย พบว่าแม้จะสูงขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้อยู่ในระดับที่เห็นว่าสูงผิดปกติจากเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ตรงกันข้าม เงินบาทไทยค่อนข้างแข็งมากเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เองก็ยังได้แจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการให้เร่งนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรและให้มีประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมาโดยตลอด

นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวว่า สงครามการค้าครั้งนี้ไม่ได้มีแต่สหรัฐและจีนที่เจ็บตัวกัน แต่ผลกระทบกระจายไปทั่วโลก เจ็บตัวกันไปไม่มากก็น้อย ซึ่งไม่เป็นการดีกับการค้าโลกที่ยังเปราะบางอยู่ สนค.มองว่าความขัดแย้งของสองประเทศมีรากเหง้าลึกกว่าเรื่องของการค้า เป็นการแข่งขันกันในด้านเทคโนโลยีและการมีอิทธิพลในทวีปเอเชียด้วย จึงอาจจะเป็นหนังเรื่องยาว ในส่วนของไทยแม้ว่าอาจจะทำให้การส่งออกลดลงบ้างในปีนี้ แต่ท่ามกลางปัญหายังเห็นโอกาสอยู่หลายจุด เพราะเศรษฐกิจไทยและการส่งออกไทยมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง สินค้าไทยหลายตัวมีมาตรฐานสูงและมีชื่อเสียงในตลาดโลก ขณะนี้เป็นโอกาสที่เราจะนำสินค้าไทยแทรกเข้าไปในหลายๆ ตลาด แม้ว่าระยะสั้นอาจจะต้องมีผลกระทบแรงต่อการส่งออก แต่มั่นใจว่าถ้าทุกภาคส่วนร่วมมือกันก็จะรับมือได้อย่างแน่นอน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image