น่าจับตาดูกันต่อไปว่า บนเส้นทางการเมืองประชาธิปไตยที่จะยังพิกลพิการนี้ พรรคการเมืองและนักการเมืองจะจนตรอกและยอมสยบแก่แผนสืบทอดอำนาจอย่างราบคาบหรือไม่
ก่อนหน้านี้ เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยมีความเห็นเกี่ยวกับ “ประชาธิปัตย์” แปลกแตกต่างออกไปโดยไม่เชื่อว่าประชาธิปัตย์จะยอมแลกอนาคตของพรรคด้วยการเข้าร่วมรัฐบาลกับ “ฝ่ายสืบทอดอำนาจ”
มีข้อเท็จจริงที่พึงพิจารณาคือ
พรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ซึ่ง “พลังประชารัฐ” เป็นแกนนั้น มีอยู่ 115 เสียง
หากรวมกับพรรคพันธมิตรและพรรคจิ๋วทั้งหมดก็ประมาณว่า ได้ราวๆ 145-146
ส่วนพรรคการเมืองฝ่ายที่จับมือกันลงสัตยาบัน 7 พรรคประกาศชัดว่า “ไม่สนับสนุน” พล.อ.ประยุทธ์ มี พรรคเพื่อไทย เป็นแกน รวมกันได้ 245 เสียง
ต่างกันเป็นร้อย !
“เผ่าภูมิ” จึงตีความเอาเองว่า “เสียงประชาชน” ที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้งต้องการ “ความเปลี่ยนแปลง” !!
พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย แม้จะเคยประกาศชัดว่า ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ในระหว่างที่ 2 ขั้ว “เพื่อไทย” กับ “พลังประชารัฐ” ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ
“ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” ก็เล่นเป็น
2 พรรคนี้สงวนท่าที
กล่าวอย่างเป็นธรรม แม้จะสมมุติว่าทุกคนมีความปรารถนาดีต่อประเทศเช่นเดียวกัน แต่ “โลก” ของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยกับ “โลกของผู้ยิ่งใหญ่” ที่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพเข้ายึดอำนาจแล้วแปลงร่างเป็นนักการเมืองนั้น แตกต่างกันทั้งภูมิหลังความเป็นมา ปรัชญาแนวคิด รวมไปถึง “บุคลิกภาพ”
ไม่เคยมี “นักรัฐประหาร” คนไหนในประวัติศาสตร์ที่ยึดอำนาจแล้ว “หยุด” หรือจบลงเพียงแค่นั้น
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องใช้ “สมอง” กับ “การเจรจา” เป็นประดุจอาวุธ
ไม่สามารถใช้ปืนกับสมัครพรรคพวกเข้าคุกคามช่วงชิงอำนาจจากใครได้ !
“การเจรจาต่อรอง” ของนักการเมืองจึงไม่ใช่สิ่งพิสดาร และไม่ใช่ความวุ่นวาย
บัดนี้มีข่าวว่า “ประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย” ไปดึงเอาพรรคชาติไทยพัฒนาและชาติพัฒนามารวมกันได้ 116 เสียง กลายเป็น “ขั้วที่ 3” สำหรับการจัดตั้งรัฐบาล
แกนที่ 1 เพื่อไทย เริ่มจาก 136 เสียง แกนที่ 2 พลังประชารัฐ เริ่มจาก 115 เสียง แกนที่ 3 ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย ผนึกกับ
2 ชาติได้ 116 เสียง
จับตาดูกันต่อไป ใครจะสิ้นเนื้อประดาตัว !?!!