คลังเตรียมยาแรงชงรัฐบาลใหม่กระตุ้นศก. เล็งอัดฉีดบริโภคคนชั้นกลาง

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า มอบให้แต่ละสำนักของสศค.ไปติดตามภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้อย่างใกล้ชิด และไปดูว่าควรจะมียาแรงที่กระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ เพื่อเตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ มาตรการยาแรงนำมาใช้และเห็นผลเร็วคือมาตรการกระตุ้นการบริโภค ต้องขึ้นอยู่กับว่าต้องการยาแรงแค่ไหน เพราะถ้าต้องการใช้มาตรการแรงมากจะใช้เงินมาก แต่จะเห็นผลเร็ว ซึ่งในการนำมาตรการมาใช้จะต้องดูว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงด้วยว่าเป็นอย่างไร ควรจะใช้มาตรการใด เพราะสถานการณ์ที่แตกต่างกันการใช้มาตรการต้องต่างกัน

นายลวรณ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นบริโภคสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยไปแล้ว ซึ่งในกลุ่มนี้เงินที่ใส่ไปนั้นถูกนำไปใช้ทั้งหมด แต่จะไม่มีการต่อยอดของเงิน เช่น รัฐให้ 100 บาท ใช้ 100 บาท จะไม่ควักมาใช้เพิ่ม เพราะเขามีกำลังแค่นี้ แต่ถ้าเป็นกลุ่มชั้นกลาง เช่น ก่อนหน้านี้เคยมีแนวคิดแจกเงินท่องเที่ยวคนละ 1,500 บาท ครอบครัวมีพ่อแม่ ได้ 3,000 บาท ไปเที่ยวทั้งครอบครัว อาจต้องควักเงินมาใช้จ่ายเพิ่ม 5,000 พันบาท เพราะ3,000 บาทอาจไม่พอ ซึ่งกระทรวงการคลังอยากเห็นมาตรการในลักษณะนี้ คือ อยากให้เอกชน ประชาชน เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่ใช้เงินรัฐเพียงอย่างเดียว

“เรื่องท่องเที่ยวแค่ยกตัวอย่าง ยังไม่ใช่ข้อสรุป ขณะนี้ยังคงไม่สรุปว่าจะใช้มาตรการใด เพราะต้องการให้หน่วยงานของ สศค.ไปทำการบ้านมาก่อน รวมถึงต้องดูเงินในกระเป๋าของรัฐบาลด้วย และต้องประเมินภาวะเศรษฐกิจ สงครามการค้าว่าจะเป็นอย่างไร การส่งออกเป็นอย่างไร หลังจากนั้นจะมาพิจารณาอีกที โดยเตรียมไว้เพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่และรัฐบาลใหม่” นายลวรณ กล่าว

นายลวรณ กล่าวว่า ทั้งนี้กระทรวงการคลังยังคงเป้าเศรษฐกิจปีนี้ 3.8% ส่งออกโต 3.4% จะสูงกว่าที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ประเมินไว้ว่าเศรษฐกิจปีนี้โต 3.6% ส่งออกโต 2.2% เนื่องจากคลังประเมินตัวเลขไว้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ขอติดตามตัวเลขในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ก่อนปรับประมาณการอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม

Advertisement

นายลวรณ กล่าวว่า สำหรับเรื่องส่งออกนั้นคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยต้องดูว่าสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐจบอย่างไร โดยผู้นำจีนและสหรัฐ จะมีการพบปะหารือกันในที่ประชุมจี 20 ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีความหวังว่าอาจจะมีอะไรดีๆ ออกมาจากการประชุมดังกล่าว และบทเรียนจากกรณีแบนหัวเว่ยทำให้เห็นว่าสหรัฐไม่สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง หากสงครามการค้าคลี่คลายจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image