เปิดคำพิพากษาศาล “ครูปรีชา” ไม่ใช่เจ้าของหวย30ล้าน ชี้พยานหลักฐานมีพิรุธ-น่าสงสัย

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้ยกฟ้องคดีที่ครูปรีชาใคร่ครวญ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ สภ.บ่อพลอย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ในคดีอาญา หมายเลขดำ ที่ อ.1863/61 ข้อหายักยอกทรัพย์ รับของโจร กรณีสลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พ.ย.60 เลข 533726 จำนวน 1 ชุด 5 ใบ เป็นเงินจำนวน 30 ล้านบาทนั้น

ศาลได้มีคำวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหายักยอกสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่หนึ่ง ซึ่งโจทก็ก็ทำหายหรือรับสลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าวโดยรับรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหาย จึงต้องวินิจฉัยก่อนว่า สลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่หนึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ ที่ทำหายซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกสำหรับความผิดตามฟ้องหรือไม่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดแล้วเห็นได้ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่หนึ่งดังกล่าว คงมีเพียงพยานบุคคลที่อ้างว่าเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซื้อขายเท่านั้น แต่ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนคำเบิกความของพยานบุคคล อีกทั้งคำเบิกความของพยานบุคคลดังกล่าวก็มีข้อพิรุธและขัดแย้งกันเองในหลายประการ ทั้งเรื่องความสามารถของพยานแต่ละคนในการจดจำเลขสลากกินแบ่งรัฐบาล การโทรศัพท์ติดต่อนัดหมายไปรับสลากกินแบ่งรัฐบาลระหว่างโจทก์กับนางสาวรัตนาพร การแจ้งความหลังทราบผลการออกรางวัล และที่สำคัญคำเบิกความของพยานบุคคลที่โจทก์นำสืบสวนขัดแย้งกับข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่และพื้นที่การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโจทก์ในวันที่ 20 ตุลาคม 2560  เมื่อพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จำเลยนำสืบหักล้างแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากนางสาวรัตนาพร ที่ตลาดเรดซิตี้ในวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2560 โดยไม่ได้เดินทางไปตลาดเรดซิตี้ในวันที่ 6 ตุลาคม 2560  แต่โจทก์กลับใช้วิธีนำสืบโดยหยิบยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 27 ตุลาคม 2560  มากล่าวอ้างว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม 2560

เมื่อปรากฎว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่หนึ่งยังวางขายอยู่บนแผงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลของนางสาวพัชริดาในวันที่ 30  ตุลาคม 2560  แต่โจทก์ไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากนางสาวรัตนาพรในวันที่ 27 ตุลาคม 2560  แสดงว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลที่โจทก์ไปซื้อจากนางสาวรัตนาพรไม่ใช่สลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่เมื่อทราบผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560  นางสาวรัตนาพรเห็นภาพถ่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลบนแผงขายของนางสาวพัชริดา ซึ่งนางสาวพัชริดาถ่ายรูปไว้เมื่อวันที่ 30  ตุลาคม 2560  ปรากฎภาพสลากกินแบ่งรัฐบาลเลข ๕๓๓๔๔๒๖ อยู่บนแผง นางสาวรัตนาพรจึงคิดว่าตนเองซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดดังกล่าวไปจากนางสาวพัชริดาแล้วนำไปขายต่อให้โจทก์ นางสาวรัตนาพรจึงไปบอกโจทก์ว่าถูกรางวัลที่หนึ่งในครั้งแรก โจทก็ยืนยันว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลที่โจทก์มีเลขสามตัวหน้าไม่ตรงกับรางวัลที่หนึ่ง แต่เมื่อนางสาวรัตนาพรพูดย้ำหลายครั้งว่าโจทก์ถูกรางวัลที่หนึ่งทำให้โจทก์เริ่มลังเลจนในที่สุดก็เข้าใจ ไปด้วยอีกคนว่าตนได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่หนึ่งจริงตามที่นางสาวรัตนาพรบอก แม้ว่าขณะนั้นโจทก์จะไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่หนึ่งอยู่ในครอบครองจนกลายเป็นที่มาของการไปแจ้งความว่าโจทก์ทำสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่หนึ่งตกหาย ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดดังกล่าวมาตั้งแต่แรก

เมื่อคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความว่ามีการกระทำความผิดตามฟ้องเกิดขึ้นจริง แต่พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบสวน แต่มีข้อพิรุธน่าสงสัยและขัดแย้งกับพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในหลายประการตามที่กล่าวมา ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดนี้ถูกรางวัลที่หนึ่งมาจากนายสาวรัตนาพร สลากกินแบ่งรัฐบาลที่จำเลยนำไปขอรับเงินรางวัลไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์ซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2 (4) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย  พิพากษายกฟ้อง

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image