เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 11 มิถุนายน ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองยโสธร ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากลุ่มชาวบ้านในเขตอำเภอเมืองยโสธรกว่า 100 คน เดินทางเข้าพบกับ ร.ต.อ.สงกรานต์ พรมสุรินทร์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองยโสธร เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ หลังจากที่ได้พากันนำเงินของตนเองไปลงทุนซื้อทองคำในราคาถูก หรือออมทองคำ กับแม่ทีมใหญ่ ซึ่งติดต่อร่วมลงทุนซื้อทองคำผ่านเฟซบุ๊กและแอพพลิเคชั่นไลน์โดยตกลงซื้อทองคำกันในราคาบาทละ 12,000-15,000 บาท ซึ่งลูกค้าจะโอนเงินเข้าบัญชีของแม่ทีมใหญ่หลังจากนั้นจะนัดรับทองคำภายใน 15 วัน ในช่วงแรกๆ จะได้รับทองคำรูปพรรณตามนัดทุกครั้ง ลูกค้าก็จะนำทองที่ได้ไปขายเป็นกำไรหมุนเวียนไปเรื่อยๆก่อนจะเข้าไปซื้อทองคำรูปพรรณกับแม่ทีมใหญ่อีกรอบ แต่ต่อมาในระยะหลังลูกค้าไม่ได้รับทองคำตามที่ตกลงกันไว้แต่อย่างใดและเมื่อไปติดต่อขอรับเงินที่โอนไปซื้อทองคำกับแม่ทีมใหญ่จะถูกบ่ายเบี่ยงเรื่อยมาและแจ้งว่าอยู่ระหว่างการจัดหาทองคำรูปพรรณส่งให้กับลูกค้า จนทำให้มีชาวบ้านเห็นว่าได้กำไรงามจึงเข้าไปร่วมเล่นออมทองคำและโอนเงินไปซื้อทองคำรูปพรรณเป็นจำนวนมากต้องสูญเงินไปคนละหลายล้านบาท แต่ไม่ได้รับทองคำตามที่ตกลงแต่อย่างใดโดยในขณะนี้มีตัวเลขยอดรวมของเงินที่สูญไปกว่า 56 ล้านบาท
นางสาวดารารัตน์ อุทปัท อายุ 26 ปี ชาวยโสธร แม่ทีมใหญ่ ได้เข้าพบกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองยโสธร และแจ้งว่าตนได้ทำธุรกิจส่วนตัวอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับการระดมทุนเพื่อออมทองคำรูปพรรณ โดยสั่งซื้อทองคำรูปพรรณมาจากร้านจำหน่ายทองคำรูปพรรณ จากนั้นได้ประกาศโฆษณาขายสินค้าดังกล่าวทางเฟซบุ๊กส่วนตัวจะขายทองคำน้ำหนักตั้งแต่ ครึ่งสลึง ถึง 1 บาท จนมีลูกค้าที่สนใจเข้าไปร่วมทำธุรกิจจำนวนหลายราย แต่ในช่วงแรกๆ สามารถบริหารจัดการซื้อขายทองคำได้ดีมีลูกค้าสนใจเข้าไปร่วมทำธุรกิจและขยายเครือข่ายออกไปเรื่อยๆจนเกิดการขาดสภาพคล่องทำให้ส่งทองคำรูปพรรณให้กับลูกค้าล่าช้ากว่ากำหนด แต่ไม่มีเจตนาที่จะฉ้อโกงลูกค้าแต่อย่างใดเพียงแต่อาจจะส่งทองคำให้ล่าช้ากว่ากำหนดเท่านั้นและยืนยันว่าจะเร่งจัดส่งทองคำรูปพรรณให้กับลูกค้าทั้งหมดโดยเร็ว
พ.ต.อ.ปณิธาน ยามานนท์ ผกก.สภ.เมืองยโสธร กล่าวว่า ในเบื้องต้นหลังจากที่พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว และฝ่ายผู้ถูกร้องยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะฉ้อโกงชาวบ้านและยืนยันว่าจะเร่งนำทองคำรูปพรรณที่ลูกค้าสั่งซื้อส่งให้กับลูกค้าทุกคนโดยเร็ว เบื้องต้นพนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อหาใดๆเพียงลงบันทึกประจำวันเอาไว้เป็นหลักฐานและจะได้เรียกผู้เสียหายทั้งหมดไปสอบสวนให้ละเอียดอีกครั้งและรอดูว่าผู้ถูกร้องจะสามารถตกลงเจรจาชดใช้ค่าเสียหายกับฝ่ายผู้เสียหายได้หรือไม่ ซึ่งถ้าปรากฏว่ามีพฤติการณ์ฉ้อโกงประชาชนจะได้แจ้งข้อหาในภายหลังต่อไป
