นายวิทวัส ตันติเวสส รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ด้านการตลาดกลาง บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดไส้กรอกในปี 2562 คาดว่าจะมีมูลค่า 32,000 ล้านบาทเติบโตประมาณ 2% จากปีที่ผ่านมาโดยส่วนแบ่งตลาดเป็นไส้กรอกพรีเมี่ยมราคาขายมากกว่า 400 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) ที่ 6% ไส้กรอกเกรดเอราคา 200-400 บาทต่อกก. อยู่ที่ 45% และไส้กรอกเกรดบีและซีราคา 50-200 บาทต่อกก. อยู่ที่49% โดยบริษัทมีผลิตภัณฑ์ไส้กรอกในกลุ่มเกรดเอและพรีเมี่ยมเป็นหลัก และถือว่าเป็นผู้นำในตลาดไส้กรอกในไทย สำหรับตลาดไส้กรอกพรีเมี่ยมบริษัทได้เปิดตัวแบรนด์บุชเชอร์ไส้กรอกเนื้อบดหยาบและหนังบางกรอบ ปีนี้บริษัทได้มีการรีล้อนท์แบรนด์บุชเชอร์ใหม่ในรอบ 5 ปี โดยได้มีการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งรสชาดและแพ็คเก็จใหม่ ขณะที่ราคาคงเดิมอยู่ที่44 บาทต่อแพค และใช้งบการตลาด 30 ล้านบาทเพิ่มขึ้นกว่าครึ่งหนึ่งจากปีที่ผ่านมาเพื่อมีการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ “นนท์ ธนนท์” นักร้องมากความสามารถกับการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งเหมือนกับแบรนด์บุชเชอร์ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจผู้บริโภครวมทั้งการจัดโปรโมชั่นต่างๆ
“ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรในกลุ่มสินค้าอาหารไม่ได้รับผลกระทบเพราะผู้บริโภคยังต้องบริโภคซึ่งไส้กรอกเป็นอาหารทานเล่นที่ทานได้ทุกเพศทุกวัยหาทานง่ายราคาเข้าถึงได้ตอบโจทย์คนไทยที่มีการบริโภคอาหารมากกว่า3 มื้อทั้งนี้การบริโภคไส้กรอกของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่5 กก./คน/ปีถือว่ายังน้อยหากเทียบกับการบริโภคของคนสหรัฐที่20 กก./คน/ปีและคนเยอรมันที่30 กก./คน/ปีทำให้ตลาดไส้กรอกไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตในอนาคตเช่นกัน” นายวิทวัสกล่าว
นายวิทวัส กล่าวว่า บริษัทคาดว่าบุชเชอร์จะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นถึง25% จากปีที่ผ่านมาที่เติบโตใกล้เคียงกับตลาดรวมไส้กรอกที่ประมาณ2% ถือเป็รอัตราที่เติบโตสูงแต่มั่นใจว่าจะเป็นไปได้ โดยแผนการตลาดบริษัทจะการจัดแคมเปญและโปรโมชั่นร่วมกับช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาเก็ตต่างๆ รวมทั้งจะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้นจากปัจจุบันช่องทสงการจัดจำหน่ายหลักอยู่ที่ร้านเซเว่นอิเลฟเว่น รองลงมาคือแม็คโคร รวมทั้งบิ๊กซี เทสโก้โลตัส ท็อปส์เป็นต้น นอกจากนี้ จะมีการจัดโปรโมชั่นพิเศษให้กับผู้บริโภคและแฟนคลับนนท์เพื่อร่วมกิจกรรมกับนนท์ซึ่งจากการที่จัดโปรโมชั่นรูปแบบนี้ได้รับการตอบรับดีและสามารถเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นได้
