นักวิชาการแนะทีมศก.เร่งดูแลปากท้องชาวบ้าน-สร้างผลงานใน 3 ด.-ลุ้นสงครามการค้าจบเร็วดันจีดีพีใกล้4%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)รัฐบาลชุดใหม่เป็นครม.ที่ประชาชนคาดหวังในการทำงานสูง โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน ต้องมาทำงานในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกกำลังสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้อยู่ในภาวะซึมลง จาก 2 ปีก่อนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเติบโตในระดับกว่า 4%

“กรณีที่สหรัฐประกาศสงครามการค้ากับจีนในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประกอบการกับการเมืองไทยยังไม่นิ่งจากการจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเริ่มซึมลง นอกจากนี้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ขยายตัวเพียง 2.8% ต่ำสุดในรอบ 17 ไตรมาส ดังนั้นคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีหรือทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ต้องทำงานทันที ไม่ต้องฮันนีมูน และต้องมีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่เด่น เร่งสร้างผลงานให้ปรากฎ”นายธนวรรธน์กล่าว

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้มีทั้งทีมเดิมที่เคยทำงานกับรัฐบาลชุดก่อน และเป็นรัฐมนตรีเก่าจากพรรคการเมืองเก่าๆ มีประสบการณ์ในการทำงานการเมือ รวมถึงเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่พรรคเลือกให้มาทำงานเพราะมั่นใจในความสามารถดังนั้นรัฐมนตรีเศรษฐกิจใหม่คงต้องเร่งสร้างผลงานเกิดภายใน 3-6 เดือน

นายธนวรรธน์กล่าวต่อว่า นโยบายต้องเร่งดำเนินการเป็นพิเศษ คือเรื่องปากท้องของประชาชน ทั้งในเรื่องผลักดันราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น ถ้าราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นทำให้เศรษฐกิจในต่างจังหวัดปรับตัวดีขึ้น รวมถึงต้องผลักดันให้นำสินค้าเกษตรมาแปรรูป หรือใช้ประโยชน์ เช่น นำปาล์มน้ำมันผลิตไบโอดีเซล นำยางไปใช้ทำถนนเป็นต้น นอกจากนี้เห็นด้วยกับนโยบายที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการ และอยากให้ขยายขอบข่ายบัตรสวัสดิการให้สามารถซื้อสินค้าจากร้านค้าทั่วไป จากขณะนี้จำกัดให้ซื้อจากร้านธงฟ้าเท่านั้น อีกเรื่องที่สำคัญคืออยากให้กระจายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไปให้พื้นที่ เพื่อให้เกิดการจ้างงานของคนต่างจังหวัดมากขึ้น ถ้าทำได้ทั้งหมดจะทำให้เศรษฐกิจต่างจังหวัดคึกคักขึ้น

Advertisement

นายธนวรรธน์กล่าวว่า สำหรับการรับมือเศรษฐกิจต่างประเทศจากปัญหาสงครามการค้า คาดว่าจะสร้างผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ทำให้ส่งออกของไทยในปีนี้อยู่ในระดับกว่า 3% รัฐบาลต้องผลักดันการส่งออกผ่านทูตพาณิชย์ รวมถึงต้องอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการเพื่อให้การส่งออกของไทยขยายตัว นอกจากนี้ต้องดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินไป รวมถึงขยายตลาดเติบโตโดดเด่น เช่น ซีแอลเอ็มวี อินเดีย เวียดนาม ส่วนนโยบายด้านการท่องเที่ยว ต้องให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รวมถึงต้องดูแลอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวให้ผ่านตม.เข้ามาเที่ยวเมืองไทยรวดเร็วมากขึ้น จากขณะนี้นักท่องเที่ยวต้องต่อแถวยาวเพื่อผ่านตม.เข้ามาในไทย ซึ่งใช้เวลาพอสมควร

นายธนวรรธน์กล่าวว่า เศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มโต 3.5-3.8% โดยคงต้องติดตามว่าหลังจากรัฐบาลใหม่เข้ามาทำงานในเดือนกรกฎาคม จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรออกมา และวงเงินเท่าใด และใช้งบประมาณในส่วนไหน หากมีมาตรการที่ดี และงบประมาณที่เหมาะสม น่าจะทำให้เศรษฐกิจปลายไตรมาส 3 และช่วงไตรมาส 4 ได้รับผลดี โดยงบเงินงบประมาณใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจทุก 5 หมื่นล้านบาทมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ 0.3% และถ้าโชคดีสงครามการค้าจบเร็วภายในเดือนมิถุนายนนี้ ในการพบปะกันของผู้นำสหรัฐฯ และจีนในการประชุมจี 20 อาจจะได้เห็นเศรษฐกิจไทยปีนี้โตใกล้ 4% ก็ได้

“คาดว่าครม.ชุดใหม่จะตั้งได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม หลังจากนั้นต้องแถลงนโยบายต่อสภาฯ คาดว่าจะประชุมครม.นัดแรกในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม หรือต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งคาดว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเร็วสุดคือกลางเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายน ถือเป็นช่วงปลายไตรมาส 3 แล้ว ดังนั้นผลต่อเศรษฐกิจไตรมาส 3 คงไม่มาก เพราะเวลามีน้อย คงหวังให้เศรษฐกิจไตรมาส 3 โตจากการกระตุ้นภาครัฐไม่ได้ ดังนั้นผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่น่าเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป แต่มีปัญหางบประมาณปี 2563 ยังออกไม่ได้ทำให้การใช้เงินรัฐบาลมีปัญหาดังนั้นปีนี้สิ่งที่หวังได้คือสงครามการค้าถ้าจบเร็วจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย”นายธนวรรธน์ กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image