กิจกรรม “ประชาชนปักหมุด ปลดอาวุธคสช.” อันมีภาคประชาสังคม 23 องค์กรเป็นตัวขับเคลื่อนได้เริ่มก้าวแรกไปแล้วด้วยการ เข้ายื่น 20 รายชื่อผู้ริเริ่มต่อ นายชวน หลีกภัย
จากนั้นในวันที่ 23 มิถุนายนจะเริ่มปักหมุดก้าวที่ 2 ด้วยการ จัดกิจกรรม ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
และก้าวที่ 3 ในวันที่ 24 มิถุนายน จะนำรายชื่อพร้อมเอกสารที่สมบูรณ์จำนวน 13,409 เกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ยื่นต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
เสนอเป็นกฎหมายให้มีการยกเลิกคำสั่งหรือประกาศที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยตั้งแต่การยึดอำนาจของคสช.ยังมีผลบังคับใช้อยู่
แต่ละก้าวในการ“ปลดอาวุธคสช.”ทรงความหมายยิ่ง
ความหมายของการเคลื่อนไหวครั้งนี้มิได้เป็นการรวมองค์กรภาค ประชาชนกว่า 20 องค์กรเข้ามาผนึก
หากแต่ยังประสานกับ “พรรคการเมือง”
ลำพังเพียงการผนวก นายจอน อึ้งภากรณ์ จากโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชนหรือไอลอว์ เข้ากับสมัชชาคนจน เข้ากับมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม และกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งแล้ว
แต่ในวันที่ 23 มิถุนายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ยังมีพล.ท.พงศกร รอดชมพู จากพรรคอนาคตใหม่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จากพรรคประชาชาติ นางลลิตา ฤกษ์สำราญ จากพรรคเพื่อชาติ นายวิรัตน์ วรศสิริน จากพรรคเสรีรวมไทย
พร้อมเข้าร่วมและแถลงจุดยืนร่วมกับภาคประชาสังคมอย่างแข็งขัน
นี่เป็นอีกบาทก้าวหนึ่งของ 7 พรรคต่อต้านคสช.
เป็นการประสานระหว่างพรรคการเมืองกับภาคประชาสังคมเข้าด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม
การประสานเช่นนี้เป็นบทบาทใหม่ของพรรคการเมืองโดยเฉพาะ 7 พรรคที่ผนึกกำลังตั้งแต่หลังวันที่ 24 มีนาคม เพื่อต่อต้านการสืบ ทอดอำนาจของคสช. นั่นก็คือ มิได้ต่อสู้หนทางรัฐสภาอย่างเดียว
ตรงกันข้าม ยื่นมือเดียวกันนี้ผนึกเป็นพลังร่วมกับภาคประชาสังคมเป็นประสานภาคประชาสังคมกับพรรคการเมืองเข้าด้วยกัน
จากนั้นก็ใช้เวทีรัฐสภาเป็นพื้นที่ในการขับเคลื่อน สัประยุทธ์